ราดหน้าปลาเต้าซี่

ราดหน้าปลาเต้าซี่


ส่วนผสม

น้ำมันพืช 3 ถ้วย
ปลากะพงแดงแล่เนื้อ (ชิ้นละ 100 กรัม) 4 ชิ้น
แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1/4
คะน้าฮ่องกงปอกโคนแข็งออกหั่นชิ้น 6 ต้น
กระเทียมแกะเปลือก 12 กลีบ
เต้าซี่ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ 400 กรัม
น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันงา 4 1/2 ช้อนชา
น้ำหรือน้ำสต็อกหมู 3 ถ้วย
เห็ดฟางผ่าครึ่ง 5 ดอก
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1 1/2  ช้อนชา
แป้งมันฮ่องกงหรือแป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ1. ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟกลางจนร้อน เคล้าเนื้อปลากับแป้งสาลีพอทั่ว ใส่ลงทอดในกระทะน้ำมันร้อนจนสุกเหลืองทั่ว ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน
2. ลวกคะน้าในหม้อน้ำเดือดด้วยไฟแรงจนสุก ตักขึ้นแช่อ่างน้ำเย็นจัด พักไว้
3. สับกระเทียมและเต้าซี่เข้าด้วยกันให้ละเอียด ตักใส่ถ้วย พักไว้
4. ตั้งกระทะบนไฟแรงจนร้อนจัด แล้วใส่น้ำมันที่ทอดปลา 1 ช้อนโต๊ะ กลอกให้ทั่วกระทะ ใส่เส้นใหญ่ ผัดให้เส้นไหม้และพอง ใส่น้ำมันหอย 4 ช้อนชา และน้ำมันงา 2 1/2 ช้อนชา ผัดจนเส้นกรอบเกรียม ปิดไฟ ตักใส่จาน พักไว้
5. ตั้งกระทะน้ำมันทีทอดปลา 2 ช้อนโต๊ะบนไฟกลางจนร้อน ใส่กระเทียมและเต้าซี่ที่สับรวมกัน ผัดให้หอม ใส่น้ำหรือน้ำสต็อคหมู ใส่เห็ดฟาง ปรุงรสด้วยน้ำมันหอยและน้ำมันงาที่เหลือ ซีอิ๊วขาว เกลือและน้ำตาลคนพอทั่ว พอเดือดละลายแป้งมันฮ่องกงหรือแป้งมันกับน้ำ 1/4 ถ้วยใส่ คคนพอแป้งสุกข้น ปิดไฟ
6. ตักเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ผัดใส่จาน วางปลาทอด ราดด้วยน้ำราดหน้า โรยพริกไทยป่น เสิร์ฟร้อนๆ
 
ขอบคุณ โหระพาดอทคอม

ยำไข่ต้มอย่างไทย

ยำไข่ต้มอย่างไทย


ส่วนผสม

ไข่ไก่ต้มสุก 5 ฟอง
หอมแดงซอย 1/4 ถ้วย
มะม่วงดิบรสเปรี้ยวสับ 1/4 ถ้วย
ใบสะระแหน่ 1/4 ถ้วย
ต้นหอมหั่นท่อนยาว 1/2 นิ้ว 2 ช้อนโต๊ะ
ผักกาด กะหล่ำปลีซอยและแครอทซอยสำหรับรองถ้วย
ยอดสะระแหน่สำหรับตกแต่ง

น้ำยำ
น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมดองซอยบางๆ 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1 ช้อนชา
พริกขี้หนูแดงหั่น 4 เม็ด

วิธีทำ
1. ทำน้ำยำโดยผสมน้ำมะนาว กระเทียมดอง เกลือและพริกขี้หนูใส่ถ้วย
2. ปอกเปลือกไข่ต้ม แล้วหั่นไข่เป็นแว่นหนา 1/4 นิ้ว จัดใส่ถ้วยที่รองด้วยผักกาดหอม กะหล่ำปลีซอยและแครอทซอย
3. ใส่หอมแดง มะม่วง ใบสะระแหน่และต้นหอมลงในชาม ตามด้วยน้ำยำ คลุกเคล้าเบาๆพอทั่ว
4. ตักราดบนถ้วยไข่ต้ม ตกแต่งด้วยยอดสะระแหน่ พร้อมเสิร์ฟ
 
ขอบคุณ โหระพาดอทคอม

ไข่เจียว (เจ)

ไข่เจียว (เจ)


ส่วนผสม
ฟองเต้าหู้สด 1/2 ถ้วย
แป้งทอดกรอบ 1/2 ถ้วย
น้ำสะอาด 1/4 - 1/2 ถ้วย
ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยดำเล็กน้อย

วิธีทำ1. ล้างฟองเต้าหู้สดให้สะอาด หั่นเป็นเส้น พักให้สะเด็ดน้ำ
2. ปรุงรสฟองเต้าหู้ด้วยซอสปรุงรส และพริกไทยดำ พักไว้ประมาณ 15 นาที
3. ใส่แป้งทอดกรอบลงในฟองเต้าหู้ที่หมักไว้ ค่อยๆเติมน้ำให้ส่วนผสมข้นขนาดจับเส้นฟองเต้าหู้
4. ตั้งน้ำมันในกระทะให้ร้อนจัด เทฟองเต้าหู้ที่ผสมไว้ ทอดไฟกลาง จนสุกเหลือง
5. รับประทานขณะร้อน กับซีอิ๊ว พริก มะนาว
ขอบคุณ โหระพาดอทคอม

พล่าเห็ดดอง (เจ)

พล่าเห็ดดอง (เจ)


ส่วนผสม
เห็ดยานางิ 1 ถ้วย
เห็ดฟาง 1 ถ้วย
ซอสปรุงรส 1/4 ถ้วย
ซีอิ๊วขาว 1/4 ถ้วย
น้ำต้มสุก 1/2 ถ้วย
ตะไคร้ซอยบางๆ 1/4 ถ้วย
ใบมะกรูดซอยฝอย 4-5 ใบ
ใบสะระแหน่ 1/4 ถ้วย
พริกขี้หนูสับ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา

วิธีทำ
1. ลวกเห็ดทั้งสองชนิดพอสุก พักให้เย็นและสะเด็ดน้ำ
2. ผสมซอสปรุงรส ซีอิ๊วขาว และน้ำสะอาดเข้าด้วยกัน
3. ใส่เห็ดที่ลวกแล้วลงในภาชนะ เทน้ำดองลงไปให้ท่วม คนผสมให้เข้ากัน พักไว้อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง
4. เทน้ำดองออกแล้วพักเห็ดให้สะเด็ดน้ำ
5. ผสมน้ำดอง 1/2 ถ้วย และน้ำมะนาว น้ำตาล พริกขี้หนู ให้เข้ากัน
6. เคล้าผสมเห็ด ตะไคร้ซอย ใบมะกรูดซอย ใบสะระแหน่ และน้ำยำให้เข้ากัน ตักใส่จานรับประทานทันที
ขอบคุณ โหระพาดอทคอม

น่องไก่ทอดพร้อมน้ำจิ้ม 2 แบบ

น่องไก่ทอดพร้อมน้ำจิ้ม 2 แบบ


ส่วนผสม
น่องไก่ 1 กิโลกรัม
ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
น้ำมันสำหรับทอด

วิธีทำ
1. ล้างน่องไก่แล้วใส่ในกระชอน ทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำ
2. ผสมซีอิ๊วขาว พริกไทยป่น เคล้าให้เข้ากันนำไก่ลงเคล้าให้ทั่ว หมักทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง

ส่วนผสมแป้ง
แป้งสาลี 1 ถ้วยตวง
แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
แป้งมัน 1/4 ถ้วยตวง
หัวกะทิอย่างข้น 1 ถ้วยตวง
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
น้ำปูนใส 1 ถ้วยตวง
ไข่แดง 1 ฟอง

วิธีทำ
1. นำแป้งทั้งสามชนิด เคล้าให้เข้ากันแล้วตอกไข่ เอาแต่ไข่แดงใส่ลงไป
2. เติมหัวกะทินวดจนนิ่มมือแล้วจึงละลายน้ำปูนใส เวลาเติมน้ำปูนใสค่อยๆใส่จะได้ดูว่า แป้งข้นพอที่จะชุบไก่หรือยัง ถ้าข้นไปเติมน้ำได้อีกนิดหน่อย
3. นำกระทะตั้งไฟใส่น้ำมันมากๆ ใช้ไฟอ่อน พอร้อนนำไก่ลงชุบแป้ง ทอดให้สุกเหลืองจึงตักขึ้นซับน้ำมันบนกระดาษฟาง รับประทานกับน้ำจิ้ม

น้ำจิ้มแบบที่ 1
พริกแดง 3 เม็ด
กระเทียมดอง 1 หัว
กระเทียมสด 4 กลีบ
น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วยตวง
เกลือป่น 2 ช้อนชา

วิธีทำเคี่ยวน้ำตาลทรายกับน้ำส้มสายชู เกลือป่นให้ข้น จึงเอาพริกแดงที่โขลกกับกระเทียมสด กระเทียมดองละลายกับน้ำส้มสายชู

น้ำจิ้มแบบที่ 2
น้ำปลาดี 3 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมสดหั่น 1 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูหั่น 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 3 1/2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
ซอยพริกขี้หนู กระเทียม ใส่น้ำปลา บีบน้ำมะนาวใส่ลงผสมให้เข้ากัน

ขอบคุณ โหระพาดอทคอม

ผัดโหงวก๊วยเจ

ผัดโหงวก๊วยเจ


ส่วนผสม
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
ซอสพริกเซี่ยงไฮ้ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันหอยเจ 1/2 ช้อนโต๊ะ
ซอสปรุงรส 1 1/2 ช้อนชา
ซีอิ๊วขาว 1 1/2 ช้อนชา
น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา
พริกไทยป่นใหม่ๆ 1 ช้อนชา
เกาลัดคั่วหรืออบ 4 เม็ด
แห้วต้ม 4 เม็ด
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด 12 เม็ด
เผือกหอม หั่นลูกเต๋าขนาด 2 ซม. ทอด 12 ชิ้น
ฟองเต้าหู้ทอดหักชิ้น 1/4 ถ้วย
แปะก๊วยต้ม 8 เม็ด
พุทราจีนเชื่อม 4 เม็ด
เห็ดหอมแห้ง แช่น้ำจนนุ่ม ทอด 5 ดอก
พริกขี้หนูแห้งทอด 8 เม็ด
ใบกะเพราทอดกรอบสำหรับโรยหน้าและกินแนม

ซอสพริกเซี่ยงไฮ้
ส่วนผสม

พริกแห้งหัวเรือแช่น้ำจนนุ่ม 7 เม็ด
พริกชี้ฟ้าแดงเอาเม็ดออก 3 เม็ด
ถั่วลิสงคั่วโขลกละเอียด 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 2 ช้อนชา
เต้าเจี้ยวโขลก 1 ช้อนชา
น้ำมันน้ำพริกเผา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนชา
เกลือสมุทร 1/4 ช้อนชา

วิธีทำ
1. ทำซอสพริกเซี่ยงไฮ้โดยโขลกพริกแห้ง พริกชี้ฟ้าและถั่วลิสง เข้าด้วยกันให้ละเอียด ตักใส่ถ้วย พักไว้
2. ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟกลางพอร้อน ใส่เครื่องที่โขลกลงผัดพอหอม ใส่เต้าเจี้ยว น้ำมันน้ำพริกเผา น้ำตาล และเกลือ ผัดพอทั่ว เคี่ยวนาน 10 นาที หรือจนซอสงวด ปิดไฟ ตักใส่ถ้วย พักไว้
3. ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟกลางพอร้อน ใส่ซอสพริกเซี่ยงไฮ้ น้ำมันหอยเจ ซอสปรุงรส ซีอิ๊วขาว น้ำผึ้ง และพริกไทย ผัดให้เข้ากันและมีกลิ่นหอม
4. ใส่เกาลัด แห้ว เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด เผือกทอด ฟองเต้าหู้ทอด แปะก๊วย พุทราจีนเชื่อม เห็ดหอมทอด และพริกทอด ผัดให้ทั่ว ปิดไฟ
5. ตักใส่จาน โรยใบกระเพราทอดกรอบ เสิร์ฟร้อนๆ

ขอบคุณ โหระพาดอทคอม

แหนมเห็ดเจ

แหนมเห็ดเจ


ส่วนผสม
แหนมเห็ดเจ (ห่อละ 80-100 กรัม) 7 ห่อ
แป้งชุบทอด 2 ถ้วย
เกล็ดขนมปังชุบทอด 2 ถ้วย
น้ำมันพืช 4 ถ้วย
น้ำเย็น 1 1/2 ถ้วย
เครื่อง แนมมี ถั่วลิสงทอด ขิงอ่อนหั่นลูกเต๋าเล็ก พริกขี้หนูแห้งทอดหรือพริกขี้หนูสวนและมะนาวหั่นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก ผักกาดคอสสำหรับรองจาน

แหนมเห็ดเจ
ส่วนผสม
เห็ดนางฟ้าฉีก 500 กรัม
เห็ดฟางดอกบาน 250 กรัม
ก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ต้มสุกหั่นชิ้นเล็ก 1 ถ้วย
ข้าวเหนียวนึ่ง 1/2 ถ้วย
เกลือป่น 2 1/2 ช้อนชา
พริกขี้หนูสีแดง 24 เม็ด

วิธีทำ
1. ทำแหนมเห็ดเจโดยล้างเห็ดทั้งสองชนิด ใส่จานนำไปนึ่งในชั้นลังถึงบนหม้อน้ำเดือดด้วยไฟแรงจนสุก
2. ใส่ลงในอ่างผสม ใส่ก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ ข้าวเหนียว เกลือ เข้าด้วยกันจนเหนียว ใส่พริกขี้หนูสีแดงทั้งเม็ด ผสมให้ทั่ว ตักใส่ถุงพลาสติก ถุงละ 80-100 กรัม มัดปากถุงให้แน่นหมักทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง 2-3 วัน หรือจนแหนมมีรสเปรี้ยว
3. นำแป้งชุบทอดผสมน้ำเย็นจนเข้ากันทั่ว คนจนแป้งไม่จับตัวเป็นก้อน เตรียมไว้
4. หั่นแหนมเห็ดที่มีรสเปรี้ยวได้ที่ ห่อละ 4 ชิ้น ใส่ลงชุบในอ่างแป้งให้ติดทั่ว แล้วคลุกเกล็ดขนมปังชุบทอดให้ทั่ว ใส่ลงทอดในกระทะน้ำมันร้อนด้วยไฟกลางจนสุกเหลืองทั่ว ตักขึ้นวางบนกระดาษซับน้ำมัน
5. จัดแหนมชุบแป้งทอดใส่จานที่รองด้วยผักกาดคอส เสิร์ฟกับเครื่องแนม

ขอบคุณ โหระพาดอทคอม

เต้าหู้สอดไส้เห็ดหอม (เจ)

เต้าหู้สอดไส้เห็ดหอม (เจ)


ส่วนผสม
เต้าหู้อ่อนกึ่งแข็ง 3 ก้อน
เห็ดหอมสดขนาดเล็ก 5-6 ดอก
ซีอิ๊วขาว 5-6 ช้อนชา
เกาลัดต้มสุก 10 เม็ด
ก้านหรือใบขึ้นฉ่าย 2 ก้าน

ส่วนผสมไส้
เต้าหู้อ่อนกึ่งแข็งบดหยาบ 150 กรัม
เห็ดหอมหั่นละเอียด 50 กรัม
เกาลัดแกะเปลือกหั่นละเอียด 50 กรัม
ซอสปรุงรส 2 ช้อนชา
เต้าเจี้ยวโขลกหยาบ 1 ช้อนชา
แป้งข้าวโพด 2 ช้อนชา

วิธีทำ
1. นำส่วนผสมไส้เห็ดหอม โดยผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ปรุงรสด้วยซอสปรุงรสและเต้าเจี้ยว
2. หั่นเต้าหู้ตามความหนาของชิ้นเต้าหู้ให้ได้เป็นชั้นๆเปิดชิ้นเต้าหู้ออก
3. ใส่ไส้เห็ดหอมลงบนชิ้นเต้าหู้ วางเต้าหู้ชิ้นต่อไปซ้อนทับบนไส้ ทำเช่นเดียวกันนี้ให้ได้ 3 ชั้น
4. จัดเต้าหู้สอดไส้เห็ดหอมใส่จาน เรียงเห็ดหอม เกาลัดลงในจาน ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ราดบนเต้าหู้ให้ทั่ว นำไปนึ่งให้สุก ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
5. ตกแต่งด้วยขึ้นฉ่าย จัดเสิร์ฟขณะร้อน

หมายเหตุ
- รับประทานได้ 3-4 ที่
- เต้าหู้ที่นำมาใช้หากอ่อนเกินไปจะไม่อยู่ตัวและแตกง่าย ควรเลือกใช้เต้าหู้ที่มีความอ่อนและอยู่ตัว
ขอบคุณ โหระพาดอทคอม

เต้าหู้ย่างซีอิ๊ว

เต้าหู้ย่างซีอิ๊ว


ส่วนผสม
เต้าหู้อ่อนกึ่งแข็งหั่นชิ้นสี่เหลี่ยม 400 กรัม
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
ซอสหอยนางรมเจผสมเห็ดหอม 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันงา 4 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1 1/2 ช้อนชา
ขิงสับละเอียด 1 ช้อนชา
พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
งาขาว 1 ช้อนชา
งาดำ 1 ช้อนชา
ขิงดอง
ผักสด เช่น แครอทขูดฝอย ผักสลัด

วิธีทำ1. ผสมซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรมผสมเห็ดหอม น้ำมันงา น้ำตาลทราย ขิงสับละเอียด พริกไทยป่น คนให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน
2. ใส่เต้าหู้ลงในน้ำซอสปรุงรสข้อ 1 โรยงาขาวและงาดำคลุกเคล้าให้เข้ากันหมักไว้ 20 นาที
3. ย่างเต้าหู้ให้สุกและมีกลิ่นหม ทาด้วยน้ำซอสปรุงรสซ้ำหลายๆครั้ง ขณะย่างเต้าหู้
4. เคี่ยวน้ำซอสปรุงรสที่เหลือจากการหมักเต้าหู้ให้พอเดือด ยกลง
5. จัดเต้าหู้ย่างซีอิ๊วใส่จาน ตกแต่งด้วยผักสลัด แครอทและขิงดอง ราดด้วยน้ำซอสปรุงรสที่เหลือบนเต้าหู้ย่าง จัดเสิร์ฟขณะร้อน

หมายเหตุ
- การเลือกเต้าหู้สำหรับนำมาย่างไม่ควรเลือกชนิดอ่อนหรือแข็งเกินไปเพราะจะทำ ให้ไม่ได้เนื้อสัมผัสของเต้าหู้และซอสปรุงรสไม่ซึมเข้าไปในเนื้อเต้าหู้
- การย่างสามารถย่างบนกระทะเทฟลอนแบบร่องหรือตะแกรงย่างได้ทั้ง 2 แบบ
ขอบคุณ โหระพาดอทคอม

ราดหน้าหมูหมัก

ราดหน้าหมูหมัก


ส่วนผสม
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ 200 กรัม
ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา
คะน้าต้นใหญ่ปอกโคนแข็งออกหั่นชิ้น ใบหั่นท่อน 4 ต้น
เต้าเจี้ยวดำ 1 ช้อนชา
น้ำหรือน้ำสต๊อกหมู 1 1/2 ถ้วย
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
ซอสปรุงรส 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
แป้งมันฮ่องกงหรือแป้งมัน 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
เครื่องปรุงมี น้ำส้มพริกดอง พริกป่น น้ำปลา และน้ำตาลทราย ฯลฯ

หมูหมัก
เนื้อหมูส่วนสะโพกหั่นชิ้นพอคำ 150 กรัม
แป้งมัน 2 ช้อนชา
น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
1. ทำหมูหมักโดยเคล้าเนื้อหมู แป้งมัน น้ำมันหอย ซอสปรุงรส และน้ำตาลเข้าด้วยกันในชาม หมักนาน 30 นาที
2. ตั้งกระทะไฟแรงจนร้อนจัดใส่น้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ กลอกให้ทั่วกระทะ ใส่เส้นก๋วยเตี๋ยวลงผัดให้เส้นไหม้เกรียมและพองกรอบ ใส่ซีอิ๊วดำ ผัดให้ทั่ว ปิดไฟ ตักใส่จาน พักไว้
3. ตั้งกระทะน้ำมันที่เหลือบนไฟกลางจนร้อน ใส่เนื้อหมูหมัก ผัดพอสุก ใส่คะน้า ผัดให้ทั่ว ใส่เต้าเจี้ยวดำ เติมน้ำหรือน้ำสต๊อกหมู ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส น้ำตาล พอเดือดละลายแป้งมันกับน้ำ 3 ช้อนโต๊ะเทลงกระทะ คนพอแป้งสุกข้น ปิดไฟ
4. ตักเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ผัดใส่จาน ราดด้วยน้ำราดหน้า โรยพริกไทยป่น เสิร์ฟร้อนๆกับเครื่องปรุงรส


ขอบคุณ โหระพาดอทคอม

พะโล้หมู-ไข่

พะโล้หมู-ไข่


ส่วนผสม
ไข่เป็ดหรือไข่ไก่ 7 ฟอง
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
หมูสามชั้น 300 กรัม
พริกไทยเม็ด 1 ช้อนชา
รากผักชีหั่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมหั่นหยาบๆ 3 ช้อนโต๊ะ
อบเชยยาว 2 นิ้ว 2 ท่อน
โป๊ยกั๊ก 3 ดอก
เต้าหู้ทอดให้พอง 14 ชิ้น
น้ำปลา 1/4 ถ้วยตวง
ซีอิ๊วขาว 1/4 ถ้วยตวง
น้ำตาลมะพร้าว 225 กรัม
น้ำเปล่า 5 ถ้วยตวง

วิธีทำ
1. ล้างเปลือกไข่ให้สะอาด ใส่น้ำให้ท่วม นำไปตั้งไฟคอยคนบ่อยๆ ต้มจนไข่สุกแข็ง ยกลงรินน้ำทิ้ง แช่น้ำเปล่าแล้วปอกเปลือก
2. ล้างเนื้อหมูหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมหนา
3. โขลกพริกไทยให้ละเอียด ใส่รากผักชี กระเทียม โขลกจนละเอียด
4. นำน้ำมันใส่กระทะตั้งไฟ ใส่เครื่องที่โขลกลงผัดให้หอม ใส่น้ำตาลมะพร้าวลงไปผัดให้หอมดี ใส่เนื้อหมู ไข่ น้ำปลา ซีอิ๊วขาว ผัดให้เข้ากัน
5. ตักใส่หม้อ ใส่น้ำเปล่า อบเชย โป๊ยกั๊ก เต้าหู้ พอเดือดทั่วแล้วลดไฟลง เคี่ยวไฟอ่อน พอเดือดปุดๆจนนุ่ม ยกลง

หมายเหตุเวลาต้มไข่ให้ใส่เกลือป่นลงไปด้วยเล็กน้อย จะทำให้เปลือกไข่ร่อนดี สะดวกเวลาปอกเปลือก

ขอบคุณ โหระพาดอทคอม

บาร์บีคิวทะเล+ข้าวผัดกระเทียม

บาร์บีคิวทะเล+ข้าวผัดกระเทียม


ส่วนผสมบาร์บีคิวทะเล
กุ้งสดปอกเปลืออกตัดหาง 200 กรัม
ปลาหมึกสดหั่นตามขวาง 200 กรัม
ซอสมะเขือเทศ 1/3 ถ้วยตวง
ซอสพริก 3 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมสับละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ1. ผสมซอสมะเขือเทศ ซอสพริก กระเทียม พริกไทยป่น เกลือป่น น้ำมันพืช คนให้เข้ากัน
2. ใส่กุ้งสด ปลาหมึกลงในส่วนผสมข้อที่ 1 คลุกเคล้าให้เข้ากัน เสียบไม้หมักไว้ 20 นาที
3. ยางบาร์บีคิวทะเลในกระทะเทฟลอนให้สุก ราดด้วยซอสที่หมักให้ชุ่ม
4. จัดเสิร์ฟบาร์บีคิวทะเลกับข้าวผัดกระเทียม

ส่วนผสมข้าวผัดกระเทียม
ข้าวสวยหุงสุก 4 ถ้วยตวง
ต้นหอมซอย 3 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาวหรือซีอิ๊วญี่ปุ่น 1 1/2
แครอททั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ 1/2 ถ้วยตวง
กระเทียมสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
เนยสด 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. ใส่เนยสดลงในกระทะพอละลาย ใส่กระเทียมลงผัดให้หอม ใส่แครอทผัดให้สุก
2. ใส่ข้าวสุก ลงผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยซีอิ๋วขาวผัดให้เข้ากัน ใส่ต้นหอมผัดให้กันอีกครั้งพร้อมจัดเสิร์ฟ

หมายเหตุ
- รับประทานได้ 3-4 ที่
- น้ำซอสบาร์บีคิวที่หมักนั้น นำไปตั้งไฟให้เดือดใช้เป็นซอสจิ้มเพิ่มความเข้มข้นให้กับอาหาร

ขอบคุณ โหระพาดอทคอม

น้ำหมูแดง

น้ำหมูแดง


สำหรับ ใครที่ชอบทานอาหารจานด่วนประเภทข้าวหมูแดง ก็สามารถที่จะปรุงน้ำหมูแดงไว้แล้วค่อยนำมาใช้ในคราวต่อไปได้โดยทันใจ และน้ำหมูแดงนั้นก็ยังสามารถนำมาทำอาหารจานอื่นได้อีก อาทิ บะหมี่หมูแง ไก่อบ หรือหมูอบ ตามความชอบของแต่ละคน ไก่อบหรือหมูอบนั้นอาจต้องเติมน้ำเพิ่มหน่อย เพื่อให้ส่วนผสมเมื่อเคี่ยวไปแล้วไม่แห้งเกินไป ส่วนผสมเข้าถึงเนื้อได้ดี

ส่วนผสม

น้ำซุป 4 ถ้วยตวง
ลูกผักชี คั่วให้หอมโขลกละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 3 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 2 ช้อนชา
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนชา
งาขาว 1 ช้อนโต๊ะ
แป้งข้าวโพด 5-6 ช้อนโต๊ะ
น้ำ (สำหรับละลายแป้ง) 1/2 ถ้วยตวง
สีผสมอาหารเล็กน้อย

วิธีทำ นำ ส่วนผสมทั้งหมดรวมกัน ตั้งไฟให้เดือดสักครู่ แล้วละลายแป้งข้าวโพดกับน้ำใส่ลงคงให้ส่วนผสมเข้ากันและรอให้เดือดอีกครั้ง ให้แป้ง จึงยกลงโรยด้วยงาขาว
ขอบคุณ โหระพาดอทคอม

กุ้งนางอบส้มเช้ง

กุ้งนางอบส้มเช้ง


ส่วนผสมสำหรับ 1 ที่
* กุ้งนางแกะเปลือกผ่าหลัง 4 ตัว
* แป้งมันเล็กน้อย

ส่วนผสมซอส
* ส้มเช้งหั่นเป็นแว่นบางๆ 3 ชิ้น
* น้ำส้มคั้น 1/2 ถ้วย
* น้ำสุกพอประมาณ น้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย เกลือป่น พริกชี้ฟ้าแดงซอย ผักชี

วิธีทำ
1. นำกุ้งไปคลุกกับแป้งมันบางๆแล้วจึงนำไปทอดด้วยไฟกลางให้พอเหลืองกรอบ ตักขึ้นพักไว้
2. เริ่มทำซอสโดยน้ำน้ำส้มที่คั้นไว้ น้ำส้มสายชู และน้ำตาลทรายใส่หม้อ ตั้งไฟพอเดือด ยกลงจากเตา
3. นำกุ้งนางที่ทอดไว้เรียงใส่จาน ตกแต่งหัวจานพอสวย ราดด้วยซอสน้ำส้ม
4. จัดเรียงส้มเช้ง โรยด้วยพริกชี้ฟ้าแดงและผักชี จะได้รสชาติเปรี้ยวอมหวานและเค็มเล็กน้อย

marie claire

ขอบคุณ โหระพาดอทคอม

ซี่โครงหมูอบโคล่า


ซี่โครงหมูอบโคล่า
      นุ่มชุ่มปากกับซี่โครงหมูแสนอร่อยเรียบง่ายได้ความเพลิดเพลิน
     ส่วนประกอบ     
     * ซี่โครงหมู 1 กิโลกรัม   * น้ำโคล่า 1 ขวด
     * กระเทียมกลีบใหญ่หั่นเป็นชิ้นบางๆ 4-5 กลีบ
     * พริกไทยดำตำพอแตก 1 ช้อนโต๊ะ
     * น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ   * ผงปรุงรส 1 ช้อนชา
     * เกลือป่น 1 ช้อนชา

     วิธีทำ
     + ล้างซี่โครงหมูให้สะอาดแล้วทิ้งไว้พอสะเด็ดน้ำ
     + นำซี่โครงหมูใส่หม้ออบแล้วเทน้ำโคล่าลงไป โรยเกลือให้ทั่ว ปิดฝาอบไว้สักครู่ โดยใช้ความร้อนปานกลาง จากนั้นรอจนน้ำโคล่าเริ่มขลุกขลิก

     + หลัง จากซี่โครงหมูเริ่มได้ที่แล้วให้ใส่น้ำมันหอย พริกไทยดำและผงปรุงรส คนให้เข้ากันแล้วอบต่อไปอีกประมาณ 30 นาที รอจนซี่โครงหมูนุ่มได้ที่ จากนั้นก็พร้อมเสิร์ฟได้ทันที
ขอบคุณ โหระพาดอทคอม

ยำริมน้ำ

ยำริมน้ำ


ส่วนผสม

ผักกูดลวก 1 ถ้วยตวง
หอมแดงซอย 5 หัว
น้ำปลา 2 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำพริกเผา 2 ช้อนโต๊ะ
กุ้งลวกสุก 200 กรัม
พริกชี้ฟ้าสีเขียว,สีเหลืองและสีแดงซอย

วิธีทำ
1. กุ้งสดแกะเปลือก ผ่าหลังชักไส้ดำออก เหลือหางไว้ ลวกสุก พักไว้
2. ผักกูดลวกในน้ำเดือดพอสุกผ่านน้ำเย็น จัดใส่จานพร้อมด้วยหอมแดงซอย พริกชี้ฟ้าซอยและกุ้งลวก
3. ผสมน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลทราย น้ำพริกเผาให้เข้ากัน ตักราดบนจานเครื่องยำที่เตรียมไว้

ที่มา:: นิตยสาร แม่บ้าน

ขอบคุณ โหระพาดอทคอม 

ลาบปลาทับทิม

ลาบปลาทับทิม


ส่วนผสม
เนื้อปลาทับทิมหั่นชิ้นสี่เหลี่ยม 1/2 กิโลกรัม
น้ำมันพืช 2 ถ้วยตวง
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 2 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
พริกป่น (เผ็ดกลาง) 2-3 ช้อนชา
ข้าวคั่ว 2 ช้อนชา
ต้นหอมซอย 2 ช้อนโต๊ะ
ผักชีหนามซอย 2 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงซอย 3 ช้อนโต๊ะ
ผักสด สำหรับกินกับลาบ

วิธีทำ
1. ล้างปลาทับทิมให้สะอาด ใส่ตะแกรงพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
2. ตั้งน้ำมันให้ร้อน ใส่ปลาทับทิมลงทอดให้เหลืองกรอบ ตักขึ้น พักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน
3. ผสมน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลทราย คนให้เข้ากัน
4. ใส่ปลาทับทิมทอดลงคลุกเคล้าให้เข้ากัน
5. ใส่พริกป่น ข้าวคั่ว ต้นหอม ผักชี และหอมแดงลงคลุก ระวังอย่าให้ผักช้ำ
6. จัดใส่จานรับประทานกับผักสด เช่น ผักกาดแก้ว แตงกวา สะระแหน่ ใบโหระพา

หมายเหตุ
- การทอดปลาควรทอดให้ปลากรอบนอกนุ่มใน อย่าทอดให้แข็งเกินไป
- การทำอาหารจานยำ เมื่อคลุกน้ำยำเรียบร้อยแล้วคววรจัดเสิร์ฟทันที
- รับประทานได้ 3-4 ที่

ที่มา. นิตยสาร แม่บ้าน

ขอบคุณ โหระพาดอทคอม

แกงเผ็ดเป็ดย่าง

แกงเผ็ดเป็ดย่าง


แกง เผ็ด เป็นแกงที่โขลกด้วยพริกชี้ฟ้าแห้ง ที่ต้องใช้เนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบหลักได้แก่ เนื้อหมู ไก่ ปลา เป็นต้น ผักเป็นเพียงส่วนประกอบรอง ได้แก่ มะเขือเปราะ มะเขือพวง มะเขือเจ้าพระยา หน่อไม้ ยอมมะพร้าว เป็นต้น ส่วนผักที่โรยให้มีกลิ่นหอม คือ ใบโหระพาและใบมะกรูด ส่วนน้ำแกงจะใช้กะทิ ถือเป็นแกงที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

สำหรับแกงเผ็ดเป็ดย่าง ถือเป็นแกงที่นิยมทำสำหรับงานเลี้ยงต่างๆ เพราะถือว่าเป็ดย่างเป็นวัตถุดิบราคาแพง ในปัจจุบันมีผู้เรียกแกงเผ็ดว่า แกงแดง หรือ แกงเผ็ดแดง ซึ่งเป็นการเรียกที่ผิด เพราะเรียกตามสีของน้ำแกง ที่ถูกต้องควรเรียกว่าแกงเผ็ด

ส่วนผสม

เป็ดย่างแล่เอาแต่เนื้อ หั่นเป็นชิ้นพอคำ 250 กรัม
หัวกะทิ 1/2 ถ้วยตวง
หางกะทิ 3 ถ้วยตวง
สับปะรดหั่นชิ้นพอคำ 1/2 ถ้วยตวง
มะเขือเทศสีดา 5 ลูก
องุ่นม่วง 10 ลูก
มะเขือพวง 20 ลูก
ใบโหระพาเด็ดใบ 1/2 ลูก
พริกชี้ฟ้าสีเขียว, สีแดง หั่นเฉียง 2 เม็ด
ใบมะกรูดฉีก 3 ใบ
น้ำปลา 2 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ

ส่วนผสมเครื่องแกง
พริกชี้ฟ้าแดง 10 เม็ด
ตะไคร้ซอย 1 ช้อนชา
กระเทียมซอย 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงซอย 1 ช้อนโต๊ะ
ผิวมะกรูดซอย 1/2 ช้อนชา
รากผักชีซอย 1 ช้อนโต๊ะ
ลูกผักชีคั่วป่น 1 ช้อนชา
ยี่หร่าคั่วป่น 1/2 ช้อนชา
กะปิ 1 ช้อนชา
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
1. โขลกส่วนผสมเครื่องแกงทั้งหมดให้ละเอียด
2. นำหัวกะทิเคี่ยวให้แตกมันไฟปานกลาง นำเครื่องแกงลงผัดให้หอม
3. ใส่เป็ดย่าง ปรุงรสด้วย น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ ตักใส่หม้อหางกะทิ
4. ตั้งไฟปานกลาง เคี่ยวให้เข้าเนื้อสักครู่
5. ใส่สับปะรด มะเขือพวง องุ่นม่วง มะเขือเทศสีดา คนให้สุกทั่ว
6. ใส่พริกชี้ฟ้าหั่นเฉียง ใบมะกรูดและใบโหระพา ปิดไฟยกลงตักใส่ชาม

ข้อเสนอแนะ
1. พริกชี้ฟ้าแห้งแดงจะทำให้สีของแกงสวย
2. อาจใช้หมูย่างแทนเป็ดย่างได้
3. การใช้กะทิสำเร็จรูป ถ้าต้องการหางกะทิให้ใช้น้ำเปล่าผสม โดยใช้อัตราส่วนคือกะทิ 1 ถ้วยตวง ต่อน้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง
4. การใช้กะทิสำเร็จรูปจะเคี่ยวให้แตกมันช้า ให้ใช้น้ำมันช่วยผัดกับกะทิ จะทำให้ร้อนและแตกมันเร็วขึ้น
5. สามารถใช้น้ำนมถั่วเหลืองแทนน้ำกะทิได้
6. อาจใส่ผลไม้ที่มีรสอมเปรี้ยวอื่นๆได้ เช่น ลิ้นจี่ มะม่วง
7. ลักษณะของอาหาร เป็นแกงที่มีน้ำข้นเล็กน้อย มีมันสีแดงลอยหน้า สีน้ำแกงแดงสด หอมกลิ่นเครื่องเทศ มีรสเค็ม เผ็ด หวานกะทิ

ขอบคุณ โหระพาดอทคอม 

ปลาทับทิมเจี๋ยน

ปลาทับทิมเจี๋ยน


ส่วนผสม
ปลาทับทิมหั่นชิ้นตามขวางตัว 2 ชิ้น 300 กรัม
ต้นหอมหั่นแฉลบ 1 ต้น
ขิงซอยฝอย 1 ช้อนโต๊ะ
ขึ้นฉ่าย 2 - 3 ช่อ
พริกชี้ฟ้าสีแดงหั่นแฉลบ 1 เม็ด
กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
ขิงขูดละเอียดหรือสับละเอียด 2 ช้อนชา
ซีอิ๊วขาว 1 - 1 1/2 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
แป้งมันหรือแป้งข้าวโพด 1 - 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำซุป 1/3 ถ้วยตวง
น้ำเปล่าสำหรับละลายแป้ง 1 - 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันงา 1 ช้อนชา

วิธีทำ1. ล้างปลาทับทิมให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ นำไปนึ่งจนสุก
2. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะพอร้อนใส่ กระเทียม ขิงสับ เจียวให้หอม
3. เติมน้ำซุป ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย น้ำมันงา ชิมรสตามชอบ
4. นำน้ำเปล่าละลายให้เข้ากับแป้ง เทลงในส่วนผสมข้อที่ 3 คนให้เข้ากัน
5. พอแป้งสุกนำไปตักราดบนตัวปลาทับทิมที่นึ่งสุก
6. ตกแต่งด้วยต้นหอม พริกชี้ฟ้าสีแดง ขิงซอยและใบขึ้นฉ่าย

หมายเหตุ
- การเสิร์ฟปลาทับทิมเจี๋ยนควรเสิร์ฟขณะร้อน
- การนึ่งปลาทับทิมไม่ควรนึ่งสุกจนเกินไป เพราะจะทำให้เนื้อของปลาทับทิมแข็ง รับประทานไม่อร่อย
- ควรพักปลาทับทิมให้สะเด็ดน้ำก่อนนำไปนึ่งเพราะน้ำที่อยู่ในชิ้นปลาทับทิมจะมากเกินไป
ขอบคุณ โหระพาดอทคอม

สันคอหมูย่างน้ำจิ้มแจ่ว

สันคอหมูย่างน้ำจิ้มแจ่ว
เครื่องปรุง
 เนื้อสันคอหมูแล่ส่วนมันออกบ้าง 500 กรัม
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
เกลือ 1/2 ช้อนชา
เหล้า 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำจิ้ม
น้ำมะขามเปียกต้มสุก 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1-2 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงซอย 1 หัว
ต้นหอม ผักชีฝรั่งซอย 1 ช้อนชา
น้ำมะนาว 1/2 ช้อนชา
พริกป่น 1 ช้อนชา
ข้าวคั่ว 1-2 ช้อนชา
น้ำตาลปี๊บ 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
1.  สันคอหมูแล่เป็นชิ้นสำหรับย่าง
2.  ผสมน้ำตาลปี๊บ ซอสหอยนางรม พริกไทยป่น เกลือ เหล้า เข้าด้วยกัน ลองแตะลิ้นชิมดู อย่าให้เค็มหรือหวานมากจนเกินไป
 3.  นำหมูที่แล่ไว้มาเคล้านวดเล็กน้อย เพื่อให้ส่วนผสมเข้าเนื้อหมูหมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
4.  นำไปย่างไฟกลางค่อนข้างอ่อนจนสุกเหลือง นำมาหั่นเป็นชิ้นบางพอคำ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม
5.  น้ำจิ้ม ผสมน้ำตาลปิ๊บ น้ำปลา น้ำมะขามต้มสุก เข้าด้วยกัน ลองชิมดูให้ได้รสเค็ม เปรี้ยว หวาน (เผื่อรสเปรี้ยวไว้หน่อยเพราะจะต้องใส่น้ำมะนาวอีก) ใส่พริกป่น ข้าวคั่วคนให้เข้ากัน ใส่หอมแดงซอย ต้นหอม ผักชีฝรั่งซอยคนให้เข้ากันเสิร์ฟพร้อมคอหมูย่าง
ขอบคุณ โหระพาดอทคอม

หมูสะเต๊ะ

หมูสะเต๊ะ
เครื่องปรุง
เนื้อหมูสันนอก 500 กรัม

เครื่องหมักหมูลูกผักชีคั่ว 1/2 ช้อนชา ยี่หร่าคั่ว 1/2 ช้อนชา
ตะไคร้หั่น 1 ช้อนโต๊ะ ข่าหั่น 1 ช้อนชา
ผิวมะกรูดซอย 1/4 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
นมข้นหวาน 3 ช้อนโต๊ะ
ผงขมิ้น 1 ช้อนชา
น้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะ
เนยสด 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา

วิธีทำ

1.  ล้างหมู หั่นเป็นชิ้นยาวขนาด 1 x 4 นิ้ว
2.  โขลกเครื่องเทศ ข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด เกลือเข้าด้วยกัน
3.  นำส่วนผสมในข้อ 2 ผสมกับหมูใส่นมข้น ผงขมิ้น น้ำมัน เนย เคล้าให้เข้ากัน หมักไว้ 1-2 ชั่วโมง แล้วนำมาเสียบไม้

น้ำจิ้มพริกพริกแห้งเม็ดใหญ่ 3 เม็ด
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
ข่าหั่น 1/2 ช้อนชา
ตะไคร้หั่น 2 ช้อนชา
ผิวมะกรูดหั่น 1/4 ช้อนชา
รากผักชี 2 ช้อนชา
หอมแดง 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
กระเทียม 1/2 ช้อนโต๊ะ
กะปิ 1 ช้อนชา
มะพร้าวขูด 500 กรัม
น้ำตาลปี๊บ 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะขามคั้นข้น ๆ 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพริก 1/4 ถ้วยตวง (ใช้พริกสี 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำมัน 1/4 ถ้วยตวง ตั้งน้ำมันให้ร้อน ยกกระทะขึ้นเทพริกใส่รินใช้แต่ส่วนที่ใส)
ถั่วลิสงคั่วป่น 1/2 ถ้วยตวง

วิธีทำ
1.  โขลกส่วนผสมน้ำพริกให้ละเอียด
 2.  คั้นมะพร้าวใส่น้ำ 1 1/4 ถ้วยตวง คั้นให้ได้กะทิ 2 ถ้วยตวง
 3.  ผัดน้ำพริกด้วยน้ำมันให้หอม ถ้าแห้งให้เติมกะทิ และใส่กะทิที่เหลือ ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล และน้ำมะขาม ถั่วลิสง ยกลงใส่น้ำมันพริกลอยหน้า

อาจาด
น้ำส้ม 1/2 ถ้วยตวง
น้ำ 1/2 ถ้วยตวง
เกลือ 1 ช้อนชา
น้ำตาล 1/3 ถ้วยตวง
หอมแดงหั่น 4 หัว
พริกแดง 3 เม็ด
แตงกวาหั่น 4 ผล
วิธีทำอาจาดผสมน้ำ น้ำส้ม เกลือ น้ำตาล ทิ้งให้เย็นใส่ในหอมแดงและแตงกวา พริกแดงหั่นเป็นแว่น

วิธีปิ้ง
ใช้ไฟแรงนำหมูที่เสียบไม้ไว้มาปิ้ง พรมด้วยหัวกะทิจนหมูสุก
ขอบคุณ โหระพาดอทคอม

ชะอมผัดกุ้ง

ชะอมผัดกุ้ง


ส่วนผสม
ยอดชะอมรูดเอาแต่ยอด 100 กรัม
กุ้งสด 200 กรัม
กระเทียม 5 กลีบ
พริกขี้หนูสวน 10 เม็ด
น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
เต้าเจี้ยว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืชสำหรับผัด

วิธีทำ
1. กุ้งสดแกะเปลือกผ่าหลังเอาเส้นดำออก ล้างให้สะอาด
2. ทุบพริกขี้หนูและกระเทียมพอแหลก
3. นำไปผัดกับน้ำมันพอร้อน ใส่กุ้งผัดไฟแรง พอกุ้งสุก ปรุงรสด้วยน้ำมันหอย น้ำตาลทราย เต้าเจี้ยว
4. ใส่ชะมลงผัดเร็วๆพอสุก ตักขึ้นใส่จานเสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ

ขอบคุณ  โหระพาดอทคอม

ต้มกะทิเนื้อเค็ม


ต้มกะทิเนื้อเค็ม
เคล็ดน่ารู้ หน่อไม้เปรี้ยวต้องนำมาลวกก่อน เพื่อกำจัดรสเปรี้ยวและกลิ่นหน่อไม้ให้จางลง 1 ครั้ง

ส่วนผสมหน่อไม้เปรี้ยว                              2 ถ้วย
มะพร้าวขูด                                  300 กรัม
ตะไคร้หั่นเฉียง                             1 ต้น
หอมแดงบุบ                                 2 หัว
ใบมะกรูดฉีก                                4 ใบ
น้ำปลา                                       3-4 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะขามเปียก                             2 ช้อนโต๊ะ
พริกชี้ฟ้าเขียวแดงหั่นท่อนสั้น           2 เม็ด

เนื้อเค็ม
เนื้อวัวส่วนสันใน                           300 กรัม
น้ำปลา                                       1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น                                     1/2 ช้อนชา

เครื่องแกง
พริกไทยเม็ด                               5 เม็ด
ตะไคร้ซอย                                 1 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูเขียวแดง                        4 เม็ด
หอมแดง                                     2 หัว

วิธีทำ
·  ทำ เนื้อเค็มโดยล้างเนื้อให้สะอาด ซับน้ำให้แห้ง แล้วแล่เป็นชิ้นบางตามขวางของเส้นเนื้อ ใส่ลงในอ่างผสม เคล้ากับน้ำปลา และเกลือให้ทั่ว หมักในตู้เย็นช่องธรรมดานาน 15-20 นาที ยกออกจากตู้เย็น จัดเรียงเนื้อที่หมักลงบนตะแกรง นำไปตากแดดให้แห้งทั้งสองด้าน จากนั้นหั่นเนื้อเป็นชิ้นตามขวางให้หนาประมาณ 1 ซม. ใส่จานเตรียมไว้
·  จาก นั้นโขลกพริกไทย ตะไคร้ พริกขี้หนู และหอมแดง เข้าด้วยกันให้ละเอียด ตักใส่ถ้วย พักไว้ แล้วลวกหน่อไม้เปรี้ยวในหม้อน้ำเดือดด้วยไฟกลาง ตักขึ้นใส่กระชอนพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
·  คั้นกะทิโดยใส่น้ำอุ่น 1 ถ้วย คั้นให้ได้กะทิ 1 1/2 ถ้วย ใส่น้ำอุ่นอีก 1/2 ถ้วย คั้นให้ได้กะทิอีก 1 ถ้วย
·  ตั้ง หม้อกะทิด้วยไฟกลาง ใส่เครื่องที่โขลก ใช้ทัพพีคนให้ละลายเข้ากับกะทิ จึงใส่ตะไคร้ หอมแดง ใบมะกรูด พอเดือดใส่เนื้อเค็ม หน่อไม้ ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะขามเปียก คนพอทั่ว พอเดือดอีกครั้ง ใส่พริกชี้ฟ้า ปิดไฟ
(6 คนรับประทาน)
ขอบคุณ  โหระพาดอทคอม

จิ้มจุ่ม อร่อยอย่างมีคุณค่า

จิ้มจุ่ม อร่อยอย่างมีคุณค่า


อยาก รับประทานอาหารประเภทจิ้มจุ่ม แต่ไม่อยากไปรับประทานนอกบ้าน ถามว่าเพราะอะไร ได้รับคำตอบว่า เนื้อสัตว์ไม่น่ารับประทาน ผักจะเป็นกะหล่ำปลีเสียส่วนใหญ่ อาจจะมีบางครั้งที่จัดเป็นโอกาสพิเศษในบ้าน โดยลูกๆให้ความร่วมมือ จึงต้องอร่อยด้วย มีคุณค่าด้วย อิ่มด้วย สุดท้ายต้องประหยัด

การเลือกซื้ออาหารสดอาหารแห้งก่อนปรุง สิ่งสำคัญก็คงจะเป็นเนื้อสัตว์ ควรจะมีเนื้อไก่ เนื้อหมู ลูกชิ้นปลา ตับหมู ส่วนผักพวกกะหล่ำปลี ผักบุ้ง ขึ้นฉ่าย ต้นหอม คะน้า อย่าลืมซื้อซี่โครงไก่มาทำน้ำซุป มีหัวผักกาดขาว กุ้งแห้ง เกลือ น้ำปลา รากผักชี พริกไทย

จากเครื่องปรุงทั้งหลายบางท่านอาจจะคิดว่าแพงไหมนี่ แต่ถ้าพูดถึงความคุ้มค่าหรือไม่
1. ทุกคนในครอบครัวมีกิจกรรมร่วมกัน แม่ได้สอนลูกๆทำอาหารไปด้วย
2. ประหยัดไม่ต้องออกจากบ้าน ทุกคนอิ่มอร่อย ได้อาหารที่คุณค่าราคาเหมาะสม
3. อาหารสะอาด ปลอดภัย ได้ลงมือทำเองทุกอย่าง
4. เลือกอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้อยู่ในบ้าน แต่ถ้าสมาชิกในบ้านถูกใจ คงจะต้องจัดหาไว้ เช่น หม้อไฟฟ้าสำหรับต้มน้ำ กระชอนเล็กสำหรับลวกเนื้อสัตว์ ตะเกียบ ราคาไม่แพงมาก

ส่วนผสม
เนื้อสัตว์ เนื้อไก่และเนื้อหมู 1/2 กิโลกรัม
ตับหมู 400 กรัม
ลูกชิ้นปลา 50 ลูก
ผักสด กะหล่ำปลี 2 หัว 1 กิโลกรัม
ผักบุ้งจีน 1/2 กิโลกรัม
ขึ้นฉ่าย 300 กรัม
ต้นหอม 200 กรัม
คะน้า, เห็ดหอม 1/2 กิโลกรัม
น้ำซุปจากน้ำต้มกระดูกไก่จำนวนมาก ใส่หัวผักกาดขาว กุ้งแห้ง เกลือ กรองให้สะอาด
น้ำปรุงรส (น้ำจิ้มสุกี้ยากี้ น้ำจิ้มไก่ นมาปรุงตามชอบ
วิธีทำ1. หั่นเนื้อไก่ เนื้อหมู ตับหมู ลูกชิ้นปลา เป็นชิ้นพอควร ใส่กล่องปิดฝา พักในตู้เย็นช่องธรรมดา
2. ล้างและหั่นผักขนาดเล็กใหญ่ตามความเหมาะสม
3. แบ่งน้ำซุปเป็น 2 หม้อ หม้อแรกตั้งไฟพอเดือด ลวกเนื้อสัตว์แต่ละชนิดใส่ถ้วย
4. ลวกผักในหม้อที่ 2 จัดใส่ถ้วยเนื้อสัตว์
- ระหว่างลวกผักก็ต้องเตรียมน้ำจิ้มใส่ถ้วยไว้ จุ่มลวกไป จิ้มน้ำจิ้มไป รับประทานไป เติมรสชาติด้วยซีอิ๊วขาว น้ำตาลทรายเล็กน้อย ไม่ควรลวกเนื้อสัตว์และผักในหม้อเดียวกัน สามารเป็นอาหารมื้อกลางวันในวันหยุดได้ ถ้ามีน้ำจิ้มเตียมไว้ จะรับประทานเมื่อไหร่ก็ไม่ยุ่งยาก พวกเนื้อสัตว์และผักก็ต้องเตรียมใหม่ๆอยู่แล้ว
ขอบคุณ  โหระพาดอทคอม
10 สุดยอดอาหารที่สร้างอเมริกา
เช่นเดียวกับหลายประเทศ อเมริกามีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและยาวนาน และด้วยประวัติศาสตร์นั้นมีอาหารมากมาย! ผู้คนมักจะเชื่อมโยงอาหารอเมริกันกับฮอทดอกและเบอร์เกอร์ และยังมีอีกมากมายที่ที่มา! นี่คืออาหาร 10 อันดับแรกที่สร้างอเมริกา

10.ปีกไก่บัฟฟาโล
ในขณะที่ปีกไก่ทอดเป็นอาหารหลักของชาวใต้ตราบเท่าที่เราจำได้ แต่ก็ไม่ได้เผ็ดร้อนแบบเผ็ดร้อนเสมอไป คนที่คิดว่าใครคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก Teressa Bellissimo เจ้าของร่วมของ Anchor Bar ในบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก ในตำนานเล่าว่าคืนหนึ่ง Teressa ปรุงปีกที่เหลือในซอสร้อนเพื่อเป็นอาหารว่างยามดึกสำหรับลูกชายของเธอและเพื่อน ๆ ของเขา พวกเขารักพวกเขามากจน Bellisimos ใส่ไว้ในเมนูในวันถัดไป จานใหม่นี้เสิร์ฟพร้อมขึ้นฉ่ายสไลซ์และซอสบลูชีส และไม่นานพอ ผู้คนทั่วโลกต่างต้องการลิ้มรสของบัฟฟาโลวิงส์เหล่านี้ ในที่สุด ดิ๊ก วิงเกอร์ พนักงานขายซอสเผ็ดก็ออกเดินทางพร้อมกับโดมินิก ลูกชายของเทเรสซา พวกเขากำลังพยายามโปรโมตบัฟฟาโลวิงส์และขายซอสเผ็ด และสูตรนี้ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ สถานะปีกของบัฟฟาโลถูกยึดไว้ในปี 1990 เมื่อแมคโดนัลด์เริ่มขาย Mighty Wings อีกหนึ่งปีต่อมา KFC ได้เปิดตัว Hot Wings และอีกไม่กี่ปีต่อมาก็ถึงตาของ Domino Pizza McDonald's กลับมาสู่ธุรกิจปีกอีกครั้งในปี 2013 และ Mighty Wings ได้รับการแนะนำทั่วประเทศที่ร้านอาหารส่วนใหญ่ตลอดไตรมาสแรกของปี 2014 พูดในสิ่งที่คุณต้องการเกี่ยวกับ Buffalo Chicken Wings แต่พวกมันร้อนแรงมาก! และดูเหมือนว่าทุกคนต้องการชิ้นส่วนของพวกเขา!

9. Tater Tots
ทุกคนรู้ดีนักเก็ตของมันฝรั่ง-y ดี แต่พวกเขามาจากไหน? เรื่องราวต้นกำเนิดของโรงอาหารสุดคลาสสิกแห่งนี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1950 พี่น้องสองคน Nephi และ Golden Griggs ทำงานในฟาร์มของครอบครัว ในขณะที่พวกเขาทำเงินจากการขายข้าวโพดและมันฝรั่ง พี่น้องตัดสินใจที่จะเสี่ยงและบุกเข้าไปในอุตสาหกรรมอาหารแช่แข็ง พวกเขาจำนองที่ดินเพื่อซื้อพืชแช่แข็ง โรงงานซึ่งตั้งอยู่ที่ชายแดนของโอเรกอนและไอดาโฮ เป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อบริษัทใหม่นี้ – Ore-Ida มีเงินจำนวนมากที่จะทำในเฟรนช์ฟรายที่ปรุงอย่างรวดเร็วและพี่น้องก็รู้ แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็พบปัญหา: เครื่องจักรของพวกเขามีปัญหาในการแยกของทอดที่ตัดอย่างดีออกจากข้อบกพร่องที่มีรูปร่างแปลกประหลาด นี่หมายความว่าพวกเขากำลังผลิตมันฝรั่งรูปร่างผิดปกติจำนวนมาก ซึ่งไม่สามารถขายเป็นเฟรนช์ฟรายได้อย่างแน่นอน พี่น้องได้เพิ่มกลไกใหม่เพื่อช่วยจัดเรียงและกำจัดชิ้นมันฝรั่งที่ไม่ต้องการ แต่นั่นหมายความว่าพี่น้องมีชิ้นมันฝรั่งที่ไม่ต้องการมากมาย พวกเขาจะทำอะไรกับพวกเขา? ในตอนแรก พวกเขาทำในสิ่งที่ชาวนาส่วนใหญ่ทำกับเศษวัสดุ พวกเขาเลี้ยงมันให้ปศุสัตว์ในฟาร์มของครอบครัว แต่พี่น้องอยากรู้ว่ามีอย่างอื่นที่พวกเขาสามารถทำกับเศษมันฝรั่งที่มีรูปร่างแปลก ๆ ได้หรือไม่ซึ่งจะสร้างผลกำไร ดังนั้นพวกเขาจึงทุบให้เข้ากันเพื่อสร้างนักเก็ตขนาดเล็กและเกิด tater tot! ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณมีมันฝรั่งชิ้นอร่อยๆ เหล่านี้ อย่าลืมนึกถึงนวัตกรรมของพี่น้องที่อยู่เบื้องหลังมัน! แต่นั่นก็หมายความว่าพวกพี่น้องมีมันฝรั่งชิ้นที่ไม่ต้องการมากมาย พวกเขาจะทำอะไรกับพวกเขา? ในตอนแรก พวกเขาทำสิ่งที่เกษตรกรส่วนใหญ่ทำกับเศษอาหาร พวกเขาเลี้ยงมันให้ปศุสัตว์ในฟาร์มของครอบครัว แต่พี่น้องอยากรู้ว่ามีอย่างอื่นที่พวกเขาสามารถทำกับเศษมันฝรั่งที่มีรูปร่างแปลก ๆ ได้หรือไม่ซึ่งจะสร้างผลกำไร ดังนั้นพวกเขาจึงทุบให้เข้ากันเพื่อสร้างนักเก็ตขนาดเล็กและเกิด tater tot! ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณมีมันฝรั่งชิ้นอร่อยๆ เหล่านี้ อย่าลืมนึกถึงนวัตกรรมของพี่น้องที่อยู่เบื้องหลังมัน! แต่นั่นก็หมายความว่าพวกพี่น้องมีมันฝรั่งชิ้นที่ไม่ต้องการมากมาย พวกเขาจะทำอะไรกับพวกเขา? ในตอนแรก พวกเขาทำสิ่งที่เกษตรกรส่วนใหญ่ทำกับเศษอาหาร พวกเขาเลี้ยงมันให้ปศุสัตว์ในฟาร์มของครอบครัว แต่พี่น้องอยากรู้ว่ามีอย่างอื่นที่พวกเขาสามารถทำกับเศษมันฝรั่งที่มีรูปร่างแปลก ๆ ได้หรือไม่ซึ่งจะสร้างผลกำไร ดังนั้นพวกเขาจึงทุบให้เข้ากันเพื่อสร้างนักเก็ตขนาดเล็กและเกิด tater tot! ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณมีมันฝรั่งชิ้นอร่อยๆ เหล่านี้ อย่าลืมนึกถึงนวัตกรรมของพี่น้องที่อยู่เบื้องหลังมัน! สิ่งที่จะเปลี่ยนกำไร ดังนั้นพวกเขาจึงทุบให้เข้ากันเพื่อสร้างนักเก็ตขนาดเล็กและเกิด tater tot! ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณมีมันฝรั่งชิ้นอร่อยๆ เหล่านี้ อย่าลืมนึกถึงนวัตกรรมของพี่น้องที่อยู่เบื้องหลังมัน! สิ่งที่จะเปลี่ยนกำไร ดังนั้นพวกเขาจึงทุบให้เข้ากันเพื่อสร้างนักเก็ตขนาดเล็กและเกิด tater tot! ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณมีมันฝรั่งชิ้นอร่อยๆ เหล่านี้ อย่าลืมนึกถึงนวัตกรรมของพี่น้องที่อยู่เบื้องหลังมัน!

8.ฮอทดอก
ฤดูร้อนไม่มีอะไรจะพูดได้เท่ากับการมีฮอทดอกดีๆสักตัว ไม่ว่าจะเป็นที่ปิกนิกกับเพื่อนหรือครอบครัวของคุณ หรือที่การแข่งขันเบสบอล ฮอทดอกเป็นเพียงสิ่งที่จะช่วยยกระดับอารมณ์ แต่สิ่งที่เกี่ยวกับฮอทดอกคือเราไม่รู้จริงๆ ว่ามันมาจากไหน แม้ว่าจะมีเรื่องราวมากมาย รายหนึ่งระบุว่าชื่อนี้มาจากการ์ตูนในหนังสือพิมพ์ที่แสดงโดยชายชื่อดอร์แกน ตามตำนานเล่าขาน ดอร์แกนสังเกตเห็นพ่อค้าแม่ค้าขาย “ไส้กรอกดัชชุนด์ร้อนๆ” ระหว่างการแข่งขันที่สนามโปโลนิวยอร์ก และตะโกนว่า “เอาไส้กรอกดัชชุนด์ร้อนๆ มา!” ดอร์แกนแสดงฉากนี้ด้วยสุนัขพันธุ์ดัชชุนด์นอนอยู่บนขนมปังพร้อมคำบรรยายว่า "เอาฮอทดอกของคุณมา" ประเด็นคือไม่มีใครสามารถหาสำเนาของการ์ตูนเรื่องนี้ได้ หายไปตามกาลเวลาหรือเปล่า หรือมันเคยมีมาแต่แรกแล้ว? บางคนคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกวงในระหว่างดอร์แกนกับคนขายของ แต่มันไม่ได้รับการยืนยัน แม้ว่าจะเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่ได้รับความนิยมมากกว่า แต่ความจริงก็คือฮอทดอกสามารถสืบย้อนไปถึงผู้อพยพชาวเยอรมันในทศวรรษที่ 1800 ได้! ผู้อพยพชาวเยอรมันไม่เพียงแต่นำไส้กรอกไปยังสหรัฐอเมริกาด้วยในช่วงปลายทศวรรษ 1800 แต่ยังนำสุนัขดัชชุนด์มาด้วย นักประวัติศาสตร์ฮอทดอกกล่าวว่าชื่อฮอทดอกอาจเริ่มเป็นเรื่องตลกเกี่ยวกับสุนัขตัวเล็ก ยาว และผอมของชาวเยอรมัน แม้ว่าต้นกำเนิดของอาหารนี้อาจสูญหายไปตามกาลเวลา แต่เราทุกคนต่างเห็นพ้องกันว่าฮอทดอกอร่อยและเป็นวัตถุดิบหลักของชาวอเมริกัน! ผู้อพยพชาวเยอรมันไม่เพียงแต่นำไส้กรอกไปยังสหรัฐอเมริกาด้วยในช่วงปลายทศวรรษ 1800 แต่ยังนำสุนัขดัชชุนด์มาด้วย นักประวัติศาสตร์ฮอทดอกกล่าวว่าชื่อฮอทดอกอาจเริ่มเป็นเรื่องตลกเกี่ยวกับสุนัขตัวเล็ก ยาว และผอมของชาวเยอรมัน แม้ว่าต้นกำเนิดของอาหารนี้อาจสูญหายไปตามกาลเวลา แต่เราทุกคนต่างเห็นพ้องกันว่าฮอทดอกอร่อยและเป็นวัตถุดิบหลักของชาวอเมริกัน! ผู้อพยพชาวเยอรมันไม่เพียงแต่นำไส้กรอกไปยังสหรัฐอเมริกาด้วยในช่วงปลายทศวรรษ 1800 แต่ยังนำสุนัขดัชชุนด์มาด้วย นักประวัติศาสตร์ฮอทดอกกล่าวว่าชื่อฮอทดอกอาจเริ่มเป็นเรื่องตลกเกี่ยวกับสุนัขตัวเล็ก ยาว และผอมของชาวเยอรมัน แม้ว่าต้นกำเนิดของอาหารนี้อาจสูญหายไปตามกาลเวลา แต่เราทุกคนต่างเห็นพ้องกันว่าฮอทดอกอร่อยและเป็นวัตถุดิบหลักของชาวอเมริกัน!

7.พายแอปเปิ้ล
ไม่มีอะไรจะค่อนข้างอเมริกันเท่ากับพายแอปเปิล ไม่ว่าจะซื้อจากร้านค้า เบเกอรี่ในท้องถิ่น หรือทำโดยคุณย่า เราทุกคนต่างเห็นพ้องกันว่าพายแอปเปิลเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำให้ร่างกายอบอุ่นหลังจากวันที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน แต่ในขณะที่เราทุกคนเชื่อมโยงพายแอปเปิลกับอเมริกา คุณรู้หรือไม่ว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นจริงที่นี่ แล้วมันมาจากไหน? สูตรพายที่เขียนขึ้นครั้งแรกนั้นย้อนกลับไปที่อังกฤษ มันถูกเขียนขึ้นในปี 1381 และรวมถึงแอปเปิ้ล มะเดื่อ ลูกเกด ลูกแพร์ และเปลือกขนม ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีหลักฐานว่าพายแอปเปิลไม่ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นที่นั่นเท่านั้น แต่ยังมีรูปแบบบางอย่างอยู่ทั่วยุโรป ตัวอย่างเช่น หลักฐานของพายแอปเปิลดัตช์ย้อนกลับไปในทศวรรษ 1600 สำหรับคนที่คุณสงสัย พายดัตช์ประกอบด้วยมะนาวและอบเชย และบางครั้งลูกเกดและไอซิ่ง ชาวฝรั่งเศสยังได้คิดค้น Tarte Tatin ซึ่งเกิดขึ้นโดยบังเอิญเมื่อเจ้าของโรงแรมชื่อ Stephanie Tatin พยายามทำพายแอปเปิ้ลแบบดั้งเดิมในยุค 1880 ดังนั้น ในขณะที่เราทุกคนเคยได้ยินวลีที่ว่า “เป็นคนอเมริกันอย่างพายแอปเปิล” ที่จริงแล้วอาจจะไม่จริง แต่เนื่องจากอเมริกาเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมมากมาย เราไม่แปลกใจเลยที่พายแอปเปิลกลายเป็นสมบัติของสหรัฐ แม้ว่ามันจะถูกประดิษฐ์ขึ้นที่อื่นก็ตาม

6.ซี่โครงหมูบาร์บีคิว
ซี่โครงบาร์บีคิวเป็นนวัตกรรมต้นศตวรรษที่ 20 ที่ขับเคลื่อนโดยอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์เนื้อสัตว์ เครื่องทำความเย็นแบบกลไก และแผงขายบาร์บีคิวเชิงพาณิชย์ ก่อนการทำความเย็นเชิงกลและการขนส่งทางรถไฟ ผู้คนไม่กินเนื้อสัตว์ตลอดปีเพราะไม่มีทางที่จะไม่ให้เนื้อเน่าเสียได้ เกษตรกรต้องรอจนถึงสัปดาห์แรกของฤดูหนาวที่หนาวเย็นเพื่อฆ่าสุกร มันต้องเย็นพอ—ต่ำกว่า 40?F—สำหรับซากสัตว์ที่จะเย็นลงอย่างรวดเร็วและไม่เน่าเสีย แต่ก็ไม่เย็นจนเนื้อจะแข็ง การฆ่าหมูทำให้เกิดการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ และเกือบทุกส่วนของสัตว์ถูกนำมาใช้: เลือดซึ่งสงวนไว้สำหรับพุดดิ้ง และไขมันซึ่งถูกปรุงเป็นน้ำมันหมูในกาต้มน้ำขนาดยักษ์ เศษเนื้อและไขมันชิ้นเล็ก ๆ บดเป็นไส้กรอก และต้มหัวและเท้าเพื่อทำ "เนื้อ souse" หรือทำให้หนา สตูว์เผ็ด – แฮชและข้าว กับข้าวบาร์บีคิวแบบดั้งเดิมของเซาท์แคโรไลนา เพื่อนฝูงและเพื่อนบ้านได้รับเชิญไปที่นั่น และพวกเขาจะรับประทานอาหารในตอนกลางคืน เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้า ผู้คนเข้าถึงซี่โครงได้มากขึ้น และอุตสาหกรรมการห่อเนื้อหมูก็เพิ่มขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ปัญหาเดียวคือซี่โครงหมูไม่พอดีกับถัง ซึ่งหมายความว่าโรงงานเหล่านี้มีซี่โครงที่ไม่ต้องการจำนวนมาก ว่ากันว่าในช่วงฤดูฆ่าสุกร คุณสามารถไปโรงฆ่าสัตว์และรับซี่โครงหมูได้ฟรี แต่เมื่อตู้เย็นกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น ผู้คนสามารถมีซี่โครงสำรองได้ตลอดทั้งปี ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีเวลามากขึ้นในการทดลองสูตรอาหาร ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซี่โครงบาร์บีคิวเริ่มปรากฏขึ้นทั่วประเทศ และที่เหลือก็เป็นประวัติศาสตร์! เพื่อนฝูงและเพื่อนบ้านได้รับเชิญไปที่นั่น และพวกเขาจะรับประทานอาหารในตอนกลางคืน เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้า ผู้คนเข้าถึงซี่โครงได้มากขึ้น และอุตสาหกรรมการห่อเนื้อหมูก็เพิ่มขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ปัญหาเดียวคือซี่โครงหมูไม่พอดีกับถัง ซึ่งหมายความว่าโรงงานเหล่านี้มีซี่โครงที่ไม่ต้องการจำนวนมาก ว่ากันว่าในช่วงฤดูฆ่าสุกร คุณสามารถไปโรงฆ่าสัตว์และรับซี่โครงหมูได้ฟรี แต่เมื่อตู้เย็นกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น ผู้คนสามารถมีซี่โครงสำรองได้ตลอดทั้งปี ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีเวลามากขึ้นในการทดลองสูตรอาหาร ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซี่โครงบาร์บีคิวเริ่มปรากฏขึ้นทั่วประเทศ และที่เหลือก็เป็นประวัติศาสตร์! เพื่อนฝูงและเพื่อนบ้านได้รับเชิญไปที่นั่น และพวกเขาจะรับประทานอาหารในตอนกลางคืน เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้า ผู้คนเข้าถึงซี่โครงได้มากขึ้น และอุตสาหกรรมการห่อเนื้อหมูก็เพิ่มขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ปัญหาเดียวคือซี่โครงหมูไม่พอดีกับถัง ซึ่งหมายความว่าโรงงานเหล่านี้มีซี่โครงที่ไม่ต้องการจำนวนมาก ว่ากันว่าในช่วงฤดูฆ่าสุกร คุณสามารถไปโรงฆ่าสัตว์และรับซี่โครงหมูได้ฟรี แต่เมื่อตู้เย็นกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น ผู้คนสามารถมีซี่โครงสำรองได้ตลอดทั้งปี ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีเวลามากขึ้นในการทดลองสูตรอาหาร ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซี่โครงบาร์บีคิวเริ่มปรากฏขึ้นทั่วประเทศ และที่เหลือก็เป็นประวัติศาสตร์! และเนื้อหมูอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นในต้นศตวรรษที่ 19 ปัญหาเดียวคือซี่โครงหมูไม่พอดีกับถัง ซึ่งหมายความว่าโรงงานเหล่านี้มีซี่โครงที่ไม่ต้องการจำนวนมาก ว่ากันว่าในช่วงฤดูฆ่าสุกร คุณสามารถไปโรงฆ่าสัตว์และรับซี่โครงหมูได้ฟรี แต่เมื่อตู้เย็นกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น ผู้คนสามารถมีซี่โครงสำรองได้ตลอดทั้งปี ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีเวลามากขึ้นในการทดลองสูตรอาหาร ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซี่โครงบาร์บีคิวเริ่มปรากฏขึ้นทั่วประเทศ และที่เหลือก็เป็นประวัติศาสตร์! และเนื้อหมูอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นในต้นศตวรรษที่ 19 ปัญหาเดียวคือซี่โครงหมูไม่พอดีกับถัง ซึ่งหมายความว่าโรงงานเหล่านี้มีซี่โครงที่ไม่ต้องการจำนวนมาก ว่ากันว่าในช่วงฤดูฆ่าสุกร คุณสามารถไปโรงฆ่าสัตว์และรับซี่โครงหมูได้ฟรี แต่เมื่อตู้เย็นกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น ผู้คนสามารถมีซี่โครงสำรองได้ตลอดทั้งปี ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีเวลามากขึ้นในการทดลองสูตรอาหาร ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซี่โครงบาร์บีคิวเริ่มปรากฏขึ้นทั่วประเทศ และที่เหลือก็เป็นประวัติศาสตร์! เมื่อตู้เย็นกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น ผู้คนสามารถมีซี่โครงสำรองได้ตลอดทั้งปี ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีเวลามากขึ้นในการทดลองกับสูตรอาหาร ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซี่โครงบาร์บีคิวเริ่มปรากฏขึ้นทั่วประเทศ และที่เหลือก็เป็นประวัติศาสตร์! เมื่อตู้เย็นกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น ผู้คนสามารถมีซี่โครงสำรองได้ตลอดทั้งปี ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีเวลามากขึ้นในการทดลองกับสูตรอาหาร ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซี่โครงบาร์บีคิวเริ่มปรากฏขึ้นทั่วประเทศ และที่เหลือก็เป็นประวัติศาสตร์!

5.แซนวิชรูเบน
แซนวิชรูเบนเป็นแซนด์วิชอเมริกันย่างที่ประกอบด้วยเนื้อคอร์น ชีสสวิส กะหล่ำปลีดอง และน้ำสลัดรัสเซีย ไม่ว่าคุณจะทำที่บ้านหรือขุดดินในช่วงพักกลางวัน คุณก็เข้าใจได้ง่ายว่าทำไมสิ่งเหล่านี้ถึงคลาสสิก แต่เช่นเดียวกับอาหารอื่น ๆ ในรายการนี้ Reuben Sandwich มีเรื่องราวต้นกำเนิดไม่กี่อย่าง หนึ่งในเรื่องราวเหล่านี้เล่าโดยตระกูล Kulakofsky ตามตำนานกล่าวว่าแซนด์วิชนี้คิดค้นขึ้นโดยไม่มีใครอื่นนอกจากรูเบน คูลาคอฟสกี คนขายของชำที่เกิดในลิทัวเนียในลิทัวเนีย ซึ่งอาศัยอยู่ในโอมาฮา รัฐเนบราสกา วันหนึ่ง ที่เกมโป๊กเกอร์ประจำสัปดาห์ของเขา ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมแบล็คสโตน รูเบนขอแซนวิชที่ทำจากเนื้อข้าวโพดและกะหล่ำปลีดอง เชฟชื่อ Schimmel ทำอาหารให้เขา โดยใส่สวิสชีสและน้ำสลัดพันเกาะตามสั่ง โดยวางทุกอย่างบนขนมปังข้าวไรย์ หลังจากที่รู้ว่ามันเป็นส่วนผสมที่ดี Schimmel ใส่ไว้ในเมนูอาหารกลางวันของ Blackstone และชื่อเสียงก็แพร่หลายเมื่ออดีตพนักงานของโรงแรมชนะการประกวดไอเดียแซนวิชระดับประเทศด้วยสูตรนี้ อีกเรื่องหนึ่งระบุว่าไม่ใช่รูเบน คูลาคอฟสกี ผู้คิดค้นแซนวิช แต่เป็นอาร์โนลด์ รูเบน เจ้าของร้านอาหารชาวเยอรมัน-ยิวต่างหาก เขาอาศัยอยู่ในนิวยอร์กซิตี้ และตามเรื่องเล่า Reuben ได้สร้าง "Reuben Special" ขึ้นในปี 1914 มีเรื่องราวอื่นๆ มากมาย แต่ความจริงก็คือเมื่ออาหารประเภทหนึ่งได้รับความนิยม ทุกคนต้องการอ้างสิทธิ์การประดิษฐ์ ไม่ว่าความจริงแล้ว Reuben Sandwich ยังคงเป็นแบบคลาสสิกด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่แทนที่จะเป็น Arnold Reuben เจ้าของร้านอาหารชาวเยอรมัน-ยิว เขาอาศัยอยู่ในนิวยอร์กซิตี้ และตามเรื่องเล่า Reuben ได้สร้าง "Reuben Special" ขึ้นในปี 1914 มีเรื่องราวอื่นๆ มากมาย แต่ความจริงก็คือเมื่ออาหารประเภทหนึ่งได้รับความนิยม ทุกคนต้องการอ้างสิทธิ์การประดิษฐ์ ไม่ว่าความจริงแล้ว Reuben Sandwich ยังคงเป็นแบบคลาสสิกด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่แทนที่จะเป็น Arnold Reuben เจ้าของร้านอาหารชาวเยอรมัน-ยิว เขาอาศัยอยู่ในนิวยอร์กซิตี้ และตามเรื่องเล่า Reuben ได้สร้าง "Reuben Special" ขึ้นในปี 1914 มีเรื่องราวอื่นๆ มากมาย แต่ความจริงก็คือเมื่ออาหารประเภทหนึ่งได้รับความนิยม ทุกคนต้องการอ้างสิทธิ์การประดิษฐ์ ไม่ว่าความจริงแล้ว Reuben Sandwich ยังคงเป็นแบบคลาสสิกด้วยเหตุผลใดก็ตาม

4.บิสกิตและน้ำเกรวี่
ใครไม่ชอบบิสกิตและน้ำเกรวี่จานร้อน? บิสกิตเนยที่มีลักษณะเป็นขุย จับคู่กับน้ำเกรวี่ที่เสื่อมโทรมเป็นสิ่งที่เข้ากันได้อย่างแท้จริงในสวรรค์ ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด คุณจะพบว่าอาหารจานนี้มีความหลากหลาย ทุกคนที่ได้ลิ้มรสอาหารมื้อนี้มีความสุข และในขณะที่ตอนนี้ถือว่าเป็นอาหารคลาสสิก แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป บิสกิตและน้ำเกรวี่ถูกคิดค้นขึ้นใน Southern Appalachia ในช่วงปลายทศวรรษ 1800 เนื่องจากไม้แปรรูปเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลัก สูตรนี้จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับเชื้อเพลิงราคาถูกที่มีแคลอรีสูงเพื่อให้คนงานมีพลังงานและกำลังใจ บิสกิตที่ใช้เรียกว่า "บิสกิตที่ตีแล้ว" และพวกเขาได้หัวเชื้อและเนื้อสัมผัสที่เรียบเนียนจากการถูกทุบและพับอย่างแรง ในที่สุด บิสกิตเหล่านี้ก็มีความพยายามมากเกินไปที่จะทำ ดังนั้นในปี 1877 เครื่องจักรจึงถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อผลิตมันแทน เครื่องนี้ช่วยประหยัดบิสกิตที่ถูกทุบตีจากการสูญพันธุ์เพียงลำพังและทำให้มันนุ่มนวลขึ้น สวยขึ้น และเป็นที่นิยมมากขึ้นกว่าเดิม ไม่กี่ปีต่อมา ผงฟูและเบกกิ้งโซดาก็มีจำหน่ายในท้องตลาด โดยมีแป้งเพิ่มขึ้น ซึ่งหมายความว่าบิสกิตได้รับการปรับปรุงใหม่อีกครั้ง ณ จุดนี้ ผู้คนสามารถทำบิสกิตที่ดีงามได้ เหตุใดจึงจับคู่กับน้ำเกรวี่เสมอ? น้ำเกรวี่ทำมาจากไส้กรอก กระทะ แป้ง และนม หลายอย่างที่มีอยู่หลังสงครามปฏิวัติอเมริกา บิสกิตและน้ำเกรวี่มีความเชื่อมโยงกันตั้งแต่นั้นมา และเราไม่สามารถมีความสุขมากขึ้น ด้วยปริมาณแป้งที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหมายความว่าบิสกิตได้รับความสดชื่นขึ้นอีก ณ จุดนี้ ผู้คนสามารถทำบิสกิตที่ดีงามได้ เหตุใดจึงจับคู่กับน้ำเกรวี่เสมอ? น้ำเกรวี่ทำมาจากไส้กรอก กระทะ แป้ง และนม หลายอย่างที่มีอยู่หลังสงครามปฏิวัติอเมริกา บิสกิตและน้ำเกรวี่มีความเชื่อมโยงกันตั้งแต่นั้นมา และเราไม่สามารถมีความสุขมากขึ้น ด้วยปริมาณแป้งที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหมายความว่าบิสกิตได้รับความสดชื่นขึ้นอีก ณ จุดนี้ ผู้คนสามารถทำบิสกิตที่ดีงามได้ เหตุใดจึงจับคู่กับน้ำเกรวี่เสมอ? น้ำเกรวี่ทำมาจากไส้กรอก กระทะ แป้ง และนม หลายอย่างที่มีอยู่หลังสงครามปฏิวัติอเมริกา บิสกิตและน้ำเกรวี่มีความเชื่อมโยงกันตั้งแต่นั้นมา และเราไม่สามารถมีความสุขมากขึ้น

3.มีทโลฟ
อ่า มีทโลฟ ไม่ว่าจะเตรียมโดยแม่ของคุณหรือคุณได้มาจากร้านอาหารแบบสุ่ม ใครจะไม่ชอบเนื้อดีๆสักก้อนล่ะ? แต่มันเริ่มต้นที่ไหน? สูตรแรกที่บันทึกไว้สำหรับมีทโลฟที่เรารู้จักมาจากช่วงปลายทศวรรษที่ 1870 หนังสือเล่มนี้สั่งให้พ่อครัวหั่น “เนื้อเย็นอะไรก็ได้ที่คุณมี” เนื้อนั้นน่าจะเป็นเนื้อวัวเพราะผู้คนมักจะฆ่าวัวก่อนฤดูหนาวและพยายามใช้ประโยชน์จากเนื้อสัตว์ทุกชิ้นสุดท้ายอย่างเต็มที่ มีทโลฟเป็นวิธีที่ดีในการใช้ประโยชน์จากเศษที่เหลือเหล่านั้น ใส่พริกไทย เกลือ หัวหอม ขนมปังชุบนมและไข่ที่ด้านบนของเนื้อเย็น หากคุณเคยทำมีทโลฟมาก่อน คุณอาจจะต้องตกใจเมื่อเห็นว่าสูตรนี้ยังคงเหมือนเดิมมานานหลายศตวรรษ แต่มีข้อแตกต่างอย่างหนึ่งคือ สมัยนั้น มีทโลฟไม่ใช่สำหรับมื้อเย็น มันเป็นอาหารเช้า เมื่อบรรจุภัณฑ์เนื้อสัตว์ระดับอุตสาหกรรมเริ่มต้นขึ้น มีทโลฟได้รับการยกระดับขึ้นสู่ระดับใหม่ทั้งหมด เนื่องจากการบรรจุหีบห่อทำให้เกิดเศษวัสดุจำนวนมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณต้องการสำหรับมีทโลฟ ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ มีทโลฟกลายเป็นอาหารหลักในอาหารของชาวอเมริกันจำนวนมาก เนื่องจากช่วยให้พ่อครัวปรุงอาหารในครัวเรือนขยายโปรตีนอันล้ำค่าออกไปได้ไกลกว่าที่ควรจะเป็น ตั้งแต่นั้นมา มันก็ยังคงเป็นวัตถุดิบหลักของอเมริกา และจะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกหลายร้อยปี

2.ปลายข้าว
Grits เป็นอีกหนึ่งคลาสสิกและเป็นวัตถุดิบมานานหลายศตวรรษ ได้รับการแนะนำครั้งแรกโดยชนพื้นเมืองอเมริกันในศตวรรษที่ 16 ซึ่งกำลังรับประทานข้าวโพดบดเนื้อนุ่มอยู่แล้ว สูตรนี้ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับชาวอาณานิคมชาวยุโรปเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1584 เย็นวันหนึ่งในรัฐนอร์ทแคโรไลนา เซอร์วอลเตอร์ ราลีห์และคนของเขารับประทานอาหารร่วมกับชนพื้นเมืองอเมริกันในท้องถิ่น และชายคนหนึ่งเขียนถึงข้าวโพดต้มที่ “ขาวมาก ยุติธรรม และรสชาติดี” ว่า ถูกเสิร์ฟให้กับพวกเขา จานนั้นถูกเรียกว่า 'rockahomine' โดยชนพื้นเมืองอเมริกัน ซึ่งต่อมาถูกย่อให้เหลือ 'hominy' โดยชาวอาณานิคม อาหารจานนี้ถูกเสนอให้กับผู้ตั้งถิ่นฐานในเวอร์จิเนีย และพวกเขาชอบมันมากจนชาวพื้นเมืองอเมริกันสอนวิธีทำอาหารจานนี้! เมื่อพวกเขาเรียนรู้ มันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาหารอเมริกันอย่างรวดเร็ว Grits ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น และภายในเวลาไม่กี่ปี มันกลายเป็นประเพณีสำหรับเกือบทุกรัฐทางใต้ โดยเฉพาะเซาท์แคโรไลนา เนื่องจากอยู่ใกล้ทะเล ปลายข้าวจึงกลายเป็นอาหารเช้าง่ายๆ สำหรับชาวประมงที่ชอบใส่กุ้งลงไป ปลายข้าวทำจากข้าวโพดบดหรือโฮมินี่ ต้มและผสมกับเนยและนม และมักเสิร์ฟพร้อมกุ้ง ที่กล่าวว่ามีรูปแบบอื่น ๆ อีกมากมายที่ดีพอ ๆ กัน!

1.แฮมเบอร์เกอร์
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดคือแฮมเบอร์เกอร์ แท้จริงแล้วไม่มีอะไรที่จะเป็นอเมริกันมากไปกว่าเบอร์เกอร์ที่ทำมาอย่างดี และส่วนที่ดีที่สุด? มีตัวเลือกมากมาย! แบบดั้งเดิม อาหารรสเลิศ ฟาสต์ฟู้ด สไลเดอร์ เบคอน พริกเขียว… รายการรูปแบบและท็อปปิ้งไม่มีที่สิ้นสุด! และมีสถานที่มากมายที่ยินดีให้บริการอาหารจานนี้ ไม่ว่าจะเป็นร้านแมคโดนัลด์ ห้องอาหารสุดหรู หรือร้านอาหารท้องถิ่นของคุณ แฮมเบอร์เกอร์ปรากฏตัวครั้งแรกในปลายศตวรรษที่ 19 และแฮมเบอร์เกอร์สมัยใหม่เกิดขึ้นเนื่องจากบางสิ่ง ในช่วงอุตสาหกรรม สังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งชนชั้นกลางและชนชั้นแรงงานเกิดขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีความต้องการอาหารที่ผลิตในปริมาณมากและมีราคาไม่แพงที่สามารถคว้าได้ทุกที่ มีหลักฐานมากมายที่ระบุว่าสหรัฐอเมริกาหรือเยอรมนี (โดยเฉพาะฮัมบูร์ก) เป็นประเทศแรกที่ผลิตแฮมเบอร์เกอร์ สุดท้ายแล้วมันมาจากไหนกันแน่? สิ่งที่สำคัญคือจะไปที่ไหน ซึ่งอยู่ในปากของผู้คนหลายพันคนทุกวัน และนั่น ผู้ชมที่รักของเรา เป็นที่ที่แฮมเบอร์เกอร์เจริญรุ่งเรือง

15 สุดยอดซอสอาหารจานด่วนที่คุณต้องลอง!
ไม่ว่าจะเป็นการจิ้มนักเก็ต มันฝรั่งทอด หรือเพียงเพื่อเติมเต็มเบอร์เกอร์ฉ่ำของคุณ ซอสก็เป็นสิ่งที่ต้องมีเมื่อสั่งอาหารจานด่วนทุกครั้ง ไม่ว่าคุณจะชอบรสเผ็ด รสหวาน หรือน้ำเกรวี่เข้มข้น ซอสที่คัดสรรมาอย่างดีนั้นก็มีให้เลือกตามความชอบของคุณ เพื่อช่วยให้คุณเลือกอย่างชาญฉลาด นี่คือ 15 อันดับซอสอาหารจานด่วนที่ดีที่สุด

15.ฟาร์มปศุสัตว์ Popeyes Buttermilk
แทบทุกคนรักฟาร์มปศุสัตว์ อย่างน้อยทุกคนในอเมริกา คุณสามารถกินซอสครีมนี้กับอะไรก็ได้ตั้งแต่สลัดไปจนถึงพิซซ่า แต่อาจเป็นเพื่อนสนิทที่ดีที่สุด? ไก่ทอดกรอบอร่อยจาก Popeyes Popeyes เป็นหนึ่งในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่ให้บริการไก่ที่ดีพอที่จะกินเองได้ ด้วยรสชาติที่มากอยู่แล้ว ไม่มากสามารถทำให้ดีขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม หากคุณรู้สึกอยากผสมสิ่งต่างๆ ขึ้นเล็กน้อย ทางออกที่ดีที่สุดของคุณก็คือซอส Buttermilk Ranch มีความสมดุลที่สมบูรณ์แบบของเนื้อครีมพริกไทยที่เติมเต็มเครื่องเทศเคจันจากไก่ได้อย่างลงตัว คุณสามารถเพิ่มลงในแซนวิชไก่กรอบหรือจิ้มเนื้อนุ่มๆ ก็ได้ - คุณเลือกได้ แน่นอนว่ามีแคลอรีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่ฟาร์มปศุสัตว์เป็นฟาร์มปศุสัตว์ และเราไม่สามารถปฏิเสธได้ ดังนั้นควรดื่มด่ำกับสิ่งที่ดีที่สุดด้วยเช่นกัน

14.ซอสทาโก้เบลนาโชชีส
Taco Bell มีซอสค่อนข้างน่าประทับใจ ตั้งแต่รสอ่อนไปจนถึงเผ็ดร้อนไปจนถึงซัลซ่าเวิร์ด ความเป็นไปได้สำหรับทาโก้ของคุณมีมากมาย แต่ถ้าเราข้ามผ่านตัวเลือกที่ชัดเจนของซองซอส ก็ยังมีอีกซอสหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในเงามืดซึ่งมักถูกมองข้ามไป นั่นคือซอสนาโชชีส ซอสที่ร้อนและวิเศษนี้เหมาะสำหรับการจุ่มมันฝรั่งทอดลงในชิป Tortilla แบบเก่าธรรมดา แม้ว่าซอสสูตรเฉพาะนี้อาจไม่ได้มีส่วนผสมของชีสที่ “เป็นธรรมชาติ” ที่สุด แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่ทุกคนควรลองอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต ซอสชีสที่เป็นของเหลวเสมอนี้ทำมาจากส่วนผสมของชีสทั่วไป เช่น นมที่ไม่มีไขมันและหางนม แต่ยังมีส่วนแบ่งที่พอเหมาะของหมากฝรั่งเซลลูโลสและน้ำมันพืช อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถละทิ้งรสชาติที่ปลอบโยนและเสพติดของซอสชีส Nacho ของ Taco Bell ได้

13. Whataburger ซอสมะเขือเทศรสเผ็ด
แฟน ๆ ของเครือข่าย Whataburger ทางตอนใต้จริงจังกับเบอร์เกอร์ของพวกเขามาก พวกเขายังจริงจังมากเกี่ยวกับความรักที่มีต่อซอสมะเขือเทศ "ใหม่และปรับปรุง" ซอสมะเขือเทศรสเผ็ดของ Whataburger มันอาจจะดูไม่ค่อยดีในตอนแรก คุณก็รู้ แค่ซอสมะเขือเทศธรรมดาที่ปรุงรสด้วยเครื่องเทศ แต่ในความเป็นจริง มันมีมากกว่านั้นมาก เมื่อมองแวบแรก ดูเหมือนซอสมะเขือเทศที่ยังไม่ผ่านกระบวนการใดๆ ของคุณ และแม้แต่รสชาติก็ชอบ แต่นั่นเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น – แค่รอจนกว่าพริกจาลาปิโนสีแดงจะโดนคุณ มันคืออาวุธลับของซอสมะเขือเทศ Whataburger ก้าวไปอีกขั้นของซอสมะเขือเทศ และเป็นที่น่าแปลกใจว่าทำไมบริษัทจำนวนมากถึงยังไม่ได้พยายามลอกเลียนแบบซอสมะเขือเทศนี้ ดูเหมือนความคิดล้านดอลลาร์ ตอนนี้คุณสามารถซื้อซอสมะเขือเทศรสเผ็ดของ Whataburger ทางออนไลน์และในร้านขายของชำในภูมิภาคได้ ดังนั้นคุณจึงมีพร้อมสำหรับการวิ่ง Whataburger ครั้งต่อไป

12.ซอสเปรี้ยวหวานของแมคโดนัลด์
อีกครั้งที่นี่คือห่วงโซ่อาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีซอสให้เลือกมากมาย การเลือกเพียงคนเดียวเพื่อครองเหนือคนอื่น ๆ ค่อนข้างจะทำได้ยาก แต่โชคดีที่มีหนึ่งที่ดูเหมือนจะบรรลุความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่น่าพอใจ – ซอสเปรี้ยวหวานของ McD ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดจำนวนมากเสนอซอสคลาสสิกในเวอร์ชันของตัวเอง แต่คุณสามารถหาครีมของครีมได้ที่บิ๊กเอ็ม ซึ่งโดดเด่นทุกประการ มีรสหวานอมเปรี้ยวที่สมบูรณ์แบบสำหรับเสริมนักเก็ตไก่และแม้แต่การทอดเป็นครั้งคราว ซอสเปรี้ยวหวานประกอบด้วยองค์ประกอบของผลไม้ เช่น รสพีชและแอปริคอต พร้อมด้วยน้ำส้มสายชู ซอสถั่วเหลือง และเครื่องเทศเล็กน้อย หลายคนอธิบายซอสนี้ว่าเป็น “รสชาติในวัยเด็กของพวกเขา” และเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเปิดซองเล็กๆ น้อยๆ พวกเขาจะรู้สึกเหมือนได้กลับไปสู่ช่วงเวลาที่เรียบง่าย กล่าวอีกนัยหนึ่ง McD's

11.ซอสค็อกเทลของ Long John Silver
ตอนนี้ได้เวลาเปลี่ยนไปใช้ซอสประเภท "ใต้ท้องทะเล" มากขึ้น นั่นคือซอสค็อกเทลของ Long John Silver โดยปกติสำหรับอาหารทะเล ซอสทาร์ทาร์เป็นซอสที่เลือกได้ แต่ที่ลอง จอห์น ซิลเวอร์ ซอสค็อกเทลนี่แหละที่ขโมยการแสดง มันเข้ากันได้ดีกับอะไรก็ได้จากทะเล และในบางกรณีก็ตลกดีกับไก่ด้วย Long John Silver เชี่ยวชาญด้านอาหารทะเลและปลา แต่ก็สามารถทำให้ไก่นุ่มได้ ด้วยรสชาติของผักดองที่เข้มข้น ซอสค็อกเทลของ LJS รับรองว่าจะคุ้มค่ากับเวลาของคุณและเงินของคุณอย่างแน่นอน แน่นอนว่าอาจไม่ใช่ซอสค็อกเทลที่ดีที่สุดในโลก แต่ก็ยังเป็นวิธีที่ค่อนข้างดีในการเปลี่ยนสิ่งต่างๆ เป็นครั้งคราว สำหรับประสบการณ์อาหารฟาสต์ฟู้ดที่ไม่เหมือนใคร ให้เลือกซอสค็อกเทลของลอง จอห์น ซิลเวอร์ แล้วชมต่อมรับรสของคุณต้องทึ่ง

10.เข้า-ออก พันเกาะ
เมื่อพูดถึง In-N-Out การไม่พูดถึงซอสซิกเนเจอร์ของ chain นั้นค่อนข้างยาก เรียกได้ว่าเป็นดาวเด่นของงานเลยก็ว่าได้และเป็นอีเวนท์หลักในรายการเมนูอร่อยๆ มากมาย แฟน ๆ ของเครือในแคลิฟอร์เนียรู้ว่าซอสเทาซันไอแลนด์ของ In-N-Out นั้นอร่อยและยอดเยี่ยมเพียงใด และหากคุณเคยเห็นเมนูลับที่ "ไม่ลับมาก" คุณจะรู้ว่า "สไตล์สัตว์" เหล่านี้น่ารับประทานเพียงใด ดูอาหาร คำสั่งของมันฝรั่งทอดราดด้วยสิ่งของหรือยัดไส้ในเบอร์เกอร์ฉ่ำ วิธีใดคือวิธีที่ถูกต้องในการเพลิดเพลินกับซอสเทาซันไอส์แลนด์ คุณยังสามารถสั่งซอสเพิ่มเล็กน้อยที่ด้านข้างและเก็บไว้ใช้ในภายหลังและนำความสนุกกลับบ้านได้ หรือดีกว่านั้น เลือกระหว่างตัวเลือกมากมายของสูตรเลียนแบบออนไลน์ และทำด้วยตัวเอง!

9. Popeyes Mardi Gras มัสตาร์ด
อีกหนึ่งรายการซอสจาก Popeyes ที่สมควรได้รับในรายการซอสอาหารจานด่วนที่ดีที่สุด มัสตาร์ด Mardi Gras ของ Popeyes เน้นย้ำถึงรากของ Cajun ของโซ่อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยกลิ่นโน๊ตที่น่ารื่นรมย์ของมัสตาร์ดผสมกับสิ่งที่ให้ความรู้สึกเหมือนมัสตาร์ดน้ำผึ้งแบบคลาสสิกที่เต็มไปด้วยพืชชนิดหนึ่ง คุณจะไม่มีวันผิดพลาด ร้อนกว่ามัสตาร์ดทั่วไปนิดหน่อย ไม่เพียงแต่เข้ากันได้ดีกับไก่เท่านั้น แต่ยังเป็นซอสที่เลือกรับประทานกับเคจันฟรายส์ที่ปรุงรสจัดหนักอีกด้วย โดยพื้นฐานแล้วมันเหมือนกับปาร์ตี้ Mardis Gras ทั้งหมด… แต่ในปากของคุณ! หากต้องการลองจุ่มน้ำผึ้งมัสตาร์ดแบบใหม่ ให้เลือกเวอร์ชันของ Popeyes; คุณจะไม่ผิดหวัง

8.ซอสม้าของ Arby
คุณคงรู้จักร้าน Arby's สำหรับแซนด์วิชเนื้อย่างขนาดยักษ์อันเป็นเอกลักษณ์ และแม้ว่าใช่ พวกมันน่าทึ่งมาก แต่ก็ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ Arby รู้วิธีการทำได้ดี Arby's ยังสมควรได้รับการยอมรับในเรื่องซอส – โดยเฉพาะซอส Horsey ในแง่ของซอสที่เป็นเอกลักษณ์ Horsey นั้นไม่มีใครเทียบได้ แม้ว่าจะมีซอสฟาสต์ฟู้ดมากมายที่ปรุงด้วยพืชชนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่มีอะไรจะเทียบได้กับรสชาติของ Arby เวอร์ชันนี้เลย ซอสฮอร์สซีได้รับการอธิบายว่ามีความคมและอ่อนละมุนในเวลาเดียวกัน โดยมีความข้นคล้ายครีมคล้ายกับไอโอลีมะรุมฟาสต์ฟู้ด ซอสนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก โซ่เริ่มขายของข้างขวดด้วยซ้ำ พูดถึงซอสรสเด็ด! โอเค นี่อาจไม่เหมาะที่สุดสำหรับเฟรนช์ฟรายของคุณ แต่สำหรับอย่างอื่น มันเหมือนกับการจับคู่ที่เกิดขึ้นในสวรรค์

7.เคเอฟซี ฟิงเกอร์-ลิกกิน กู๊ด ซอส
เพื่อให้ได้ไก่ชั้นดีที่เลียนิ้วได้ KFC ควรเป็นที่หนึ่งของคุณ - ไม่ต้องถามคำถาม และกลายเป็นว่า ถ้าคุณต้องการซอสดีๆ ที่เลียนิ้วให้เข้ากับไก่ตัวนั้นด้วย คุณสามารถหยิบมันขึ้นมาได้ในที่ที่สะดวกเดียวกัน ซึ่งเป็นบ้านของถังลายทางขาว-แดง เปิดตัวในปี 2558 ซอส Finger-Lickin 'Good ของ KFC นั้นเหมือนกับว่า Thousand Island และฮันนี่มัสตาร์ดมีซอสลูกหลาน แม้ว่าจะถูกยกเลิกในปี 2020 แต่ก็ยังเป็นซอสที่ควรค่าแก่การสังเกต มายองเนสสูตรพิเศษนี้ทำจากสมุนไพรและเครื่องเทศที่มีชื่อเสียง 11 ชนิดของแบรนด์ น้ำมัน ไข่ น้ำส้มสายชู และมะเขือเทศ ได้ผลลัพธ์เป็นเนื้อครีม เข้ากันได้ดีกับมันฝรั่งทอดของ KFC และเนื้อไก่ น่าเสียดายที่เห็นซอส Finger-Lickin' Good ออกจากเมนู

6.ซอสบาร์บีคิว Sonic Drive-In
คุณอาจทราบแล้วว่าเมนูของ Sonic Drive-in นั้นเหมือนกับการมีหลายเมนูรวมกันเป็นหนึ่งเดียว คุณสามารถหาอะไรก็ได้เพื่อสนองความอยากสุดเหวี่ยงของคุณ ตั้งแต่เทเทอร์ ท็อตส์ เบอร์เกอร์ ไปจนถึงผักดองทอด ดูเหมือนจะไม่มีข้อจำกัดใดๆ และอะไรจะดีไปกว่าการสั่งอาหารที่แปลกประหลาดที่สุดของคุณ? ซอสบาร์บีคิวเก่า ๆ ที่ดี แต่ไม่เพียงแค่ซอสบาร์บีคิวใด ๆ ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของโซนิค ไม่มีอะไรที่เหนือชั้น ต่างจากเมนูอื่นๆ แต่ก็ยังอร่อยในความเรียบง่าย ทำมาจากส่วนผสมของซอสมะเขือเทศ ซอส Worcestershire น้ำ และน้ำส้มสายชูกลั่น หากคุณชอบซอสบาร์บีคิวแบบคลาสสิก คุณจะต้องชอบซอสนี้มากกว่า เท่าที่ซอสของโซนิคดำเนินต่อไป บาร์บีคิวเป็นผู้ชนะที่ชัดเจน

5.น้ำเกรวี่ Jollibee
สำหรับผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับ Jollibee คุณจะพลาดความอร่อยมากมาย Jollibee เป็นร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดของชาวฟิลิปปินส์ที่เชี่ยวชาญเรื่องไก่ทอด ซึ่งเป็นไก่แสนอร่อยที่อร่อยจนทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากต้องอับอาย ที่ Jollibee ไม่มีมัสตาร์ดน้ำผึ้งหรือซอสฟาร์มปศุสัตว์เรื่องไร้สาระ - ทั้งหมดเกี่ยวกับน้ำเกรวี่ น้ำเกรวี่หนาอุ่นที่คลุมไก่ของคุณอย่างดีที่สุด หากคุณเคยมี Jollibee มาก่อน คุณจะรู้ว่ามันรู้สึกอย่างไร เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจาก Chickenjoy, ของทอดหรือข้าว การทำให้ทุกอย่างในน้ำเกรวี่อิ่มตัวเป็นเคล็ดลับ น้ำเกรวี่ของ Jollibee เป็นหนึ่งในน้ำเกรวี่ฟาสต์ฟู้ดที่ดีที่สุดในตลาด เสิร์ฟร้อนๆ ในภาชนะขนาดใหญ่ คุณสามารถใส่ไก่ชิ้นใหญ่ มันฝรั่งทอด หรือมันบดที่ส้อมของคุณถือได้ สำหรับประสบการณ์น้ำเกรวี่ที่น่าจดจำ Jollibee คือร้านที่ต้องลอง

4.ซอส Zesty ของเบอร์เกอร์คิง
การแข่งขันระหว่างร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่พยายามจะเอาชนะกันและกันและนำเสนอน้ำจิ้ม สเปรด และน้ำเกรวี่ที่ดีที่สุดนั้นรุนแรงกว่าที่เคย หลายร้านมีซอส "Zesty" ในแบบของตัวเอง ตั้งแต่ White Castle ไปจนถึง Chick-fil-A แต่ยังไม่มีใครเทียบได้กับเวอร์ชันของ Burger King เช่นเดียวกับ Whopper เมื่อพูดถึงความเอร็ดอร่อย คุณไม่สามารถมองข้าม Burger King ได้ ซอส Zesty ของ BK เป็นซอสซิกเนเจอร์ของ chain และมักจะเสิร์ฟควบคู่ไปกับหัวหอม แต่บอกตามตรงว่าอันนี้เข้ากันได้ดีมากกับอะไรก็ได้ - ของทอด นักเก็ตไก่ ของทอด - อะไรก็ได้ ด้วยรายละเอียดรสชาติของมัน มันจึงอาจเปรียบได้กับซอสที่คุณพบในร้านขายไก่มากกว่าร้านเบอร์เกอร์ แต่เชื่อเราเถอะ ซอสนี้สมควรได้รับการเรียกเก็บเงินสูงสุดอย่างถูกต้อง

3.เวนดี้ครีมมี่ศรีราชา
จำย้อนกลับไปในช่วงกลางปี ??2010 ที่ความนิยมของศรีราชาอยู่ที่ระดับสูงสุดตลอดกาลหรือไม่? ทุกคนต่างพูดถึงสิ่งของต่างๆ ร้านอาหารเริ่มกระโดดโลดเต้นและเริ่มใส่ศรีราชาในเมนูของพวกเขา เวนดี้ส์เป็นหนึ่งในนั้น และความคลั่งไคล้ศรีราชานี้ได้ให้กำเนิดหนึ่งในซอสที่ดีที่สุดที่เครือร้านเคยผลิตออกมา นั่นคือซอสครีมศรีราชาของพวกเขา Creamy Sriracha นำเสนอส่วนผสมที่ลงตัวของเนื้อครีมและความร้อน ทำจากซอสศรีราชาและส่วนผสมของไข่และน้ำส้มสายชู เช่นเดียวกับที่คุณพบในไอโอลี บางคนเรียกมันว่า “มายองเนสรสเผ็ด” และถึงแม้ว่ามันจะคล้ายกัน แต่ก็มีรสชาติที่ไม่สามารถเทียบได้กับมายองเนสเพียงอย่างเดียว ซอสแสนอร่อยนี้ทำแม้กระทั่งแซนวิชไก่ศรีราชาของเวนดี้และเบคอนศรีราชาเบคอนทอด เมื่อห่วงโซ่เห็นการตอบสนองอย่างท่วมท้นที่ผู้คนมีต่อซอสรสเผ็ด แม้กระแสศรีราชาจะจางลงเล็กน้อย Wendy's Creamy Sriracha Sauce ก็ไม่หายไปไหน!

2. Carl's Jr. Sweet & Bold BBQ
เนื่องจากซอสบาร์บีคิวเป็นแบบคลาสสิกที่อร่อยมาก เราจึงต้องมีซอสอื่นในรายการนี้ เฉพาะครั้งนี้เท่านั้น มันคือซอสบาร์บีคิว Sweet & Bold จาก Carl's Jr. ตรงกันข้ามกับร้านฟาสต์ฟู้ดอื่น ๆ มากมายที่นี่ Carl's Jr. ไม่มีทางเลือกมากมายเมื่อพูดถึงน้ำจิ้ม มันชอบทำสิ่งต่าง ๆ ให้เรียบง่ายและเสนอตัวเลือกที่จำกัดมากเท่านั้น แต่ทุกอย่างก็น่าทึ่ง โดยเฉพาะซอสบาร์บีคิว Sweet & Bold ได้รับคะแนนมากมายในแผนกรสชาติ มีมะเขือเทศเข้มข้นและรส Worcestershire พร้อมกับรสหวานและน้ำตาลที่ช่วยให้โดดเด่นจากซอสบาร์บีคิวที่เหลือ เห็นได้ชัดว่ามันเข้ากันได้ดีกับทุกสิ่งที่คุณสั่งที่ Carl's Jr. ไม่ว่าจะเป็นเนื้อไก่หรือมันฝรั่งทอด

1.ซอส Chick-fil-A
ซอสของ Chick-fil-A เป็นที่นิยมอย่างมากในห่วงโซ่อาหาร สมควรได้รับเหรียญรางวัล คุณรู้ไหม มีเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ Chick-fil-A เป็นหนึ่งในร้านไก่ที่เป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดในประเทศ - ทุกอย่างที่นำเสนอนั้นมีคุณภาพสูงสุด และซอสก็ไม่มีข้อยกเว้น โซ่นี้มีลัทธิตามลัทธิและซอสที่เป็นเอกลักษณ์ของมันเช่นกัน อธิบายว่าเป็น “น้ำจิ้มมัสตาร์ดรมควัน” ซอสในตำนานนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญเมื่อพนักงานในยุค 1980 รวมซอสบาร์บีคิวและมัสตาร์ดน้ำผึ้ง ทั้งหมดที่เราสามารถพูดได้คือ ขอบคุณพระเจ้าที่พวกเขาทำ ด้วยรสชาติที่เข้มข้นของมัสตาร์ดน้ำผึ้งและความหนาเหมือนไอโอลี ซอสของ Chick-fil-A จะเกาะติดกับนักเก็ต แถบ และแม้แต่วาฟเฟิลฟรายส์ที่เป็นสัญลักษณ์อย่างดีที่สุด มันคือน้ำผึ้งมัสตาร์ด 2.0 ในทางปฏิบัติ และเหมือนกับมัสตาร์ดน้ำผึ้งทั่วไป ทำให้ทุกอย่างที่สัมผัสมีรสชาติดีขึ้น ในปี 2020 ความฝันของลูกค้าจำนวนมากเป็นจริงเมื่อ Chick-fil-A ประกาศว่าพวกเขาจะเริ่มขายซอสเปรี้ยวข้างขวดในร้านขายของชำในฟลอริดา ไม่จำเป็นต้องพูดว่าแฟน ๆ Chick-fil-A เป็นผู้ชนะด้วยการประกาศนี้

10 อันดับร้านอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดในอเมริกา
ไม่ว่าคุณจะเป็นใครหรือชอบอะไร การรับประทานอาหารนอกบ้านก็เป็นประสบการณ์ที่สนุกสนานเสมอ และบอกตามตรงว่าการทานอาหารในร้านอาหารกับเพื่อน ครอบครัว หรือแม้แต่ทานคนเดียวเป็นสิ่งที่ขาดหายไปเล็กน้อยในตอนนี้ ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นนักชิมหรือจะเพียงแค่กินทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า นี่คือ 10 สุดยอดร้านอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดในอเมริกา!

10.ประตูสีชมพู
ประตูสีชมพูเปิดขึ้นในปี 1981 และแม้ว่าจะซ่อนอยู่ในตรอก แต่เดิมไม่ได้ตั้งใจให้เป็นความลับ Jackie Roberts ผู้ก่อตั้งตั้งใจจะให้มีป้ายนีออนสีชมพูสดใส แต่น่าเสียดายที่ความคิดนั้นถูกยิงทิ้งไปเพราะว่ากันว่าอาจเป็นการรบกวนผู้ที่อยู่ในซอย ดังนั้น เธอจึงตัดสินใจที่จะไม่มีป้ายเลย ซึ่งทำให้พิเศษยิ่งขึ้นไปอีก แนวคิดดั้งเดิมของร้านอาหารนี้มาจากตอนที่แจ็กกี้กำลังเตรียมงานจัดเลี้ยงภายในอาคาร ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นร้านขายเครื่องดนตรี ต่อมาเป็นร้านขายงานไม้ และห้องบิงโก ระหว่างทำงาน แจ็กกี้เห็นประตูเล็กๆ ที่นำไปสู่ซอย เธอเปิดมันและรู้ทันทีว่าเธอต้องการให้ร้านอาหารของเธอตั้งอยู่ตรงนั้น สี่สิบปีต่อมาและร้านอาหารยังคงเปิดดำเนินการอยู่ แต่, สิ่งที่ทำให้ร้านนี้พิเศษกว่านั้นไม่ใช่อาหาร แม้ว่าอาหารจะค่อนข้างอร่อย แต่ความจริงที่ว่าโต๊ะที่นี่มาพร้อมกับอาหารค่ำและการแสดง ห้องอาหารเต็มไปด้วยนักเล่นทางอากาศที่ประดับด้วยเลื่อม ทำให้ลูกค้าต้องตะลึงกับเปลญวน ห่วงและชิงช้า สำหรับบรรดาของคุณที่ชอบรับประทานอาหารในตอนเช้า มีเครื่องอ่านไพ่ทาโรต์ในสถานที่เพื่อตอบคำถามที่คุณอาจมี จากนั้นในตอนเย็น บาร์และเลานจ์จะกลายเป็นคาบาเร่ต์ที่มีวงดนตรีและนักแสดงล้อเลียนขึ้นเวที ประตูสีชมพูเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่าเป็นประตูคลาสสิกของซีแอตเทิล และหากคุณเคยอยู่ในพื้นที่นี้ คุณควรลองแวะไปดู สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าด้วยเปลญวน ห่วง และชิงช้า สำหรับบรรดาของคุณที่ชอบรับประทานอาหารในตอนเช้า มีเครื่องอ่านไพ่ทาโรต์ในสถานที่เพื่อตอบคำถามที่คุณอาจมี จากนั้นในตอนเย็น บาร์และเลานจ์จะกลายเป็นคาบาเร่ต์ที่มีวงดนตรีและนักแสดงล้อเลียนขึ้นเวที ประตูสีชมพูเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่าเป็นประตูคลาสสิกของซีแอตเทิล และหากคุณเคยอยู่ในพื้นที่นี้ คุณควรลองแวะไปดู สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าด้วยเปลญวน ห่วง และชิงช้า สำหรับบรรดาของคุณที่ชอบรับประทานอาหารในตอนเช้า มีเครื่องอ่านไพ่ทาโรต์ในสถานที่เพื่อตอบคำถามที่คุณอาจมี จากนั้นในตอนเย็น บาร์และเลานจ์จะกลายเป็นคาบาเร่ต์ที่มีวงดนตรีและนักแสดงล้อเลียนขึ้นเวที ประตูสีชมพูเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่าเป็นประตูคลาสสิกของซีแอตเทิล และหากคุณเคยอยู่ในพื้นที่นี้ คุณควรลองแวะไปดู

9.โอเชียน่ากริลล์
Oceana Grill ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่ดีที่สุดในนิวออร์ลีนส์ซึ่งเป็นสถานที่ที่นักชิมทุกคนไม่ควรพลาด ร้านอาหารเช้าที่เปิดให้บริการตลอดวันแห่งนี้ตั้งอยู่ในใจกลางย่าน French Quarter เป็นที่เลื่องลือของร้านปูที่โด่งดังไปทั่วโลก นอกจากนี้ Oceana Grill ยังมีอาหารครีโอลและเคจุนที่ดีที่สุดในนิวออร์ลีนส์ เช่น ไข่เจียวซีฟู้ด โป-บอยกุ้งทอด กระเจี๊ยบที่ได้รับรางวัล และหอยนางรมสด! พนักงานที่รวดเร็วและอัธยาศัยดีรอการมาถึงของคุณที่ Oceana Grill เพื่อออกไปสังสรรค์ในยามเย็น แต่บางทีสิ่งที่น่าสนใจที่สุดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับร้านอาหารแห่งนี้ก็คือการที่ร้านอาหารนี้เคยให้ความสำคัญกับ Kitchen Nightmares ซึ่งจัดโดย Gordon Ramsay คุณรู้ไหมว่ารายการที่เขาไปร้านอาหารและทำงานร่วมกับเจ้าของเพื่อแก้ไขสถานที่? แน่นอน เพราะนี่คือเรียลลิตี้ทีวี และเนื่องจากเป็นพิธีกรโดย Gordon Ramsay จึงมีการแสดงละคร การสบถ และการตะโกนมากมาย อย่างไรก็ตาม ละครที่แสดงบนหน้าจอไม่ได้มีเหตุผลเสมอไปตามที่ร้านอาหารระบุ Oceana Grill จบลงด้วยการฟ้องร้อง Ramsay และโปรดิวเซอร์รายการ – ไม่ใช่ครั้งเดียว แต่สองครั้ง! ครั้งหนึ่งต้องหยุดออกอากาศตอนและอีกเรื่องหมิ่นประมาทหลังจากคลิป "แรมเซย์อาเจียนเพราะกุ้ง" อันโด่งดังเริ่มวนเวียนในอินเทอร์เน็ต Ramsay อ้างว่า Gumbo ที่มีชื่อเสียงนั้นน่าขยะแขยง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อชื่อเสียงของร้านอาหาร แต่วันนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่ดีที่สุดในอเมริกา ดังนั้นเราจึงสามารถพูดได้ว่า Oceana Grill ได้รับความยุติธรรมที่สมควรได้รับ Oceana Grill จบลงด้วยการฟ้องร้อง Ramsay และโปรดิวเซอร์รายการ – ไม่ใช่ครั้งเดียว แต่สองครั้ง! ครั้งหนึ่งต้องหยุดออกอากาศตอนและอีกเรื่องหมิ่นประมาทหลังจากคลิป "แรมเซย์อาเจียนเพราะกุ้ง" อันโด่งดังเริ่มวนเวียนในอินเทอร์เน็ต Ramsay อ้างว่า Gumbo ที่มีชื่อเสียงนั้นน่าขยะแขยง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อชื่อเสียงของร้านอาหาร แต่วันนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่ดีที่สุดในอเมริกา ดังนั้นเราจึงสามารถพูดได้ว่า Oceana Grill ได้รับความยุติธรรมที่สมควรได้รับ Oceana Grill จบลงด้วยการฟ้องร้อง Ramsay และโปรดิวเซอร์รายการ – ไม่ใช่ครั้งเดียว แต่สองครั้ง! ครั้งหนึ่งต้องหยุดออกอากาศตอนและอีกเรื่องหมิ่นประมาทหลังจากคลิป "แรมเซย์อาเจียนเพราะกุ้ง" อันโด่งดังเริ่มวนเวียนในอินเทอร์เน็ต Ramsay อ้างว่า Gumbo ที่มีชื่อเสียงนั้นน่าขยะแขยง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อชื่อเสียงของร้านอาหาร แต่วันนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่ดีที่สุดในอเมริกา ดังนั้นเราจึงสามารถพูดได้ว่า Oceana Grill ได้รับความยุติธรรมที่สมควรได้รับ

8.บริษัท ซานตาบาร์บาร่าหอย
บริษัท Santa Barbara Shellfish Company ก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2523 เพื่อเป็นแหล่งซื้อกุ้งล็อบสเตอร์และหอยเป๋าฮื้อในท้องถิ่น หลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้พัฒนาความเชี่ยวชาญในด้านสัตว์น้ำที่มีเปลือกแข็ง กุ้ง และอาหารทะเลอื่นๆ ร้านอาหารแห่งนี้ตั้งอยู่ในซานตาบาร์บารา (ไม่น่าแปลกใจ) ที่ท่าเรือ Stearns Wharf จึงไม่เพียงให้ทัศนียภาพที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังให้บริการอาหารทะเลสดอีกด้วย ในช่วงก่อนเกิดโรคระบาด ร้านอาหารแห่งนี้ได้รับความนิยมมากจนคุณต้องรอเกือบครึ่งชั่วโมงจึงจะได้โต๊ะ ร้านอาหารได้เปลี่ยนไปเพื่อรองรับมาตรการระบาดและขณะนี้มีที่นั่งกลางแจ้ง – รวมเครื่องทำความร้อน! สำหรับบรรดาของคุณที่ชอบวิธีการแบบหยิบแล้วไปก็ยังมีตัวเลือกหน้าต่างด้านข้างเพื่อสั่งซื้อจาก หากคุณต้องการทานอาหารนอกบ้าน ก็มีที่นั่งแบบบาร์ซึ่งให้ทัศนียภาพอันงดงามของมหาสมุทร เมนูนี้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของมหาสมุทรตั้งแต่เค้กปูไปจนถึงทาโก้กุ้งไปจนถึงพาสต้ากุ้งก้ามกราม หากคุณไม่ไว้วางใจเรา สิ่งที่คุณต้องทำคืออ่านรีวิวของร้านอาหารบางส่วน ลูกค้ารายหนึ่งบอกว่าหัวหอมใหญ่ของพวกเขาอร่อยที่สุดที่เคยมีมา! เกล็ดและทอดจนสุกและไม่ชุบเกล็ดขนมปังมากเกินไป อีกคนหนึ่งกล่าวว่าหอยนางรมเป็นสิ่งที่ต้องสั่ง นี่คือหอยนางรมที่มีซอสค็อกเทล มะนาว และชีส Parmesan ขูดด้านบน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม คุณสามารถมั่นใจได้ว่าออเดอร์ของคุณจะสดและอร่อย อีกคนหนึ่งกล่าวว่าหอยนางรมเป็นสิ่งที่ต้องสั่ง นี่คือหอยนางรมที่มีซอสค็อกเทล มะนาว และชีส Parmesan ขูดด้านบน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม คุณสามารถมั่นใจได้ว่าออเดอร์ของคุณจะสดและอร่อย อีกคนหนึ่งกล่าวว่าหอยนางรมเป็นสิ่งที่ต้องสั่ง นี่คือหอยนางรมที่มีซอสค็อกเทล มะนาว และชีส Parmesan ขูดด้านบน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม คุณสามารถมั่นใจได้ว่าออเดอร์ของคุณจะสดและอร่อย

7.ฟ้าสวรรค์
บลูเฮเว่นได้รับการอธิบายว่ามีอาหารสดและบรรยากาศแบบเขตร้อน ไม่เพียงแต่ให้บริการอาหารที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องราวดีๆ ที่ควรค่าแก่การบอกเล่าอีกด้วย Blue Heaven เปิดออกโดยสองวิญญาณอิสระที่ประกาศตัวเอง: Suanne และ Richard ศิลปินและนักเขียน เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2535 พวกเขาปรุงอาหารและเสิร์ฟถั่วดำ ข้าว และปลาให้กับลูกค้ากลุ่มแรก ซึ่งนั่งอยู่บนโต๊ะปิกนิกที่ทาสีไว้ใต้ต้นอัลมอนด์เขตร้อนซึ่งอยู่ในพื้นที่รับประทานอาหารของร้านอาหาร ร้านอาหารตั้งอยู่ในอาคารที่มีอายุกว่าร้อยปี Blue Haven เริ่มสั่นคลอน วันแล้ววันเล่า Suanne และ Richard เห็นยอดขายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หลังจากที่แดนซึ่งเป็นพ่อครัวของริชาร์ด น้องชายของริชาร์ดมาช่วย สิ่งต่างๆ ก็เริ่มมองหาอย่างรวดเร็ว วันนี้ร้านอาหารเป็นหนึ่งในจุดที่ทำให้คีย์เวสต์มีความพิเศษ มีบรรยากาศแปลกตา ประดับด้วยไม้พุ่มเขตร้อนและงานศิลปะชั่วคราว นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในจุดบรันช์ที่ดีที่สุดของคีย์เวสต์ด้วยเมนูมังสวิรัติและอาหารทะเลที่ส่งตรงจากท่าเรือ อาหารจานโปรดในท้องถิ่นมีทั้งเมนูที่ปรุงจากกุ้งล็อบสเตอร์ เช่น ชีสย่างล็อบสเตอร์และล็อบสเตอร์เบเนดิกต์ และส่วนที่ดีที่สุด: ไก่และแมวเดินเตร่ไปทั่วสถานที่ ทำให้ประสบการณ์การรับประทานอาหารของคุณเบาลงเล็กน้อย แต่ไม่ว่าจะขี้เล่นแค่ไหน อาหารที่ Blue Heaven ก็อร่อยเสมอ! ไก่และแมวเดินเตร่ไปทั่วสถานที่ ทำให้ประสบการณ์การรับประทานอาหารของคุณเบาลงเล็กน้อย แต่ไม่ว่าจะขี้เล่นแค่ไหน อาหารที่ Blue Heaven ก็อร่อยเสมอ! ไก่และแมวเดินเตร่ไปทั่วสถานที่ ทำให้ประสบการณ์การรับประทานอาหารของคุณเบาลงเล็กน้อย แต่ไม่ว่าจะขี้เล่นแค่ไหน อาหารที่ Blue Heaven ก็อร่อยเสมอ!

6.วูดูโดนัท
Voodoo Donut เชี่ยวชาญด้านโดนัทที่แปลกและแหวกแนว ซึ่งไม่ใช่ร้านขนมทุกร้านที่ทำ ซึ่งอาจเป็นเพราะเหตุใดจึงมีลัทธิดังต่อไปนี้ ก่อตั้งขึ้นในพอร์ตแลนด์ในทศวรรษ 2000 สมองทั้งสองที่รับผิดชอบ Voodoo Donut คือ Kenneth “Cat Daddy” Pogson และ Tres Shannon ทั้งสองตระหนักว่าไม่มีร้านโดนัทในตัวเมืองพอร์ตแลนด์ ดังนั้นในปี 2546 พวกเขาจึงเช่าหน้าร้านที่มีรูในผนังและบอกเพื่อนและครอบครัวว่าพวกเขามุ่งหวังที่จะครอบครองโดนัททั่วโลก พวกเขาเริ่มต้นด้วยการผสมผสานของรสชาติคลาสสิกและแปลกใหม่ และผู้คนก็มีเสน่ห์มากจนภายในหนึ่งเดือนหลังจากเปิดร้าน ร้านค้าได้รับการกล่าวถึงครั้งแรกในสื่อระดับประเทศ จนถึงปัจจุบัน Voodoo Donut ได้รับการนำเสนอใน MTV, Good Morning America, The Today Show, The Tonight Show, Wheel of Fortune, Portlandia และ Grimm รวมถึงรายการอื่น ๆ ณ ปี 2563 Voodoo Donut ได้ขยายเป็น 9 แห่งในห้ารัฐ ทำไมผู้คนถึงรัก Voodoo Donut มาก? คำตอบที่ง่ายที่สุดคือโดดเด่นจากฝูงชน ทำไมต้องมีช็อกโกแลตโดนัทแบบคลาสสิกในเมื่อคุณสามารถมี Froot Loops ได้? แต่ถึงแม้ว่าจะมีโดนัทที่สร้างสรรค์ แต่บริษัทนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่อ่อนไหวและทำการตลาดโดยอิงจากศาสนาของชนกลุ่มน้อย ดังนั้น ถ้าคุณต้องการหาอะไรกินจากที่นี่ เป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึง บริษัทนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่อ่อนไหวและทำการตลาดโดยยึดหลักศาสนาของชนกลุ่มน้อย ดังนั้น ถ้าคุณต้องการหาอะไรกินจากที่นี่ เป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึง บริษัทนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่อ่อนไหวและทำการตลาดโดยยึดหลักศาสนาของชนกลุ่มน้อย ดังนั้น ถ้าคุณต้องการหาอะไรกินจากที่นี่ เป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึง

5.บลูเบิร์ด คาเฟ่
The Bluebird Cafe เป็นคลับดนตรีในเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี เปิดในปี 1982 และผู้คนหลั่งไหลเข้ามาทางประตูตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตำแหน่งนั้นไม่สงสัย ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าแถบเล็ก ๆ นอกตัวเมืองแนชวิลล์ แต่เมื่อคุณเข้าไปข้างในแล้ว คุณจะเข้าสู่โลกแห่งแสงไฟตามอารมณ์ ป่าไม้ที่มืดมิด และเสียงอันไพเราะ ก่อนที่มันจะถูกทำให้เป็นหนึ่งในสถานที่แสดงดนตรีในแนชวิลล์ Bluebird Cafe เป็นที่ตั้งของห้องเล่นเกม บาร์ ร้านพิซซ่า ร้านขายจักรเย็บผ้า และร้านขายยา พูดคุยเกี่ยวกับความเก่งกาจ! เมื่อผู้ก่อตั้ง Amy Kurland ซื้อมัน เดิมทีเธอตั้งใจจะเปลี่ยนให้เป็นร้านอาหารรสเลิศที่ลูกค้าจะได้ฟังดนตรีสดเป็นครั้งคราว ดังนั้น ภายหลัง เธอได้เพิ่มเวที โดยไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบต่ออนาคตของเธออย่างไร ภายในเดือนมีนาคมปี 1983 Kathy Mattea หนึ่งในนักดนตรีประจำของ Bluebird ได้ลงบันทึกข้อตกลง หลังจากนั้นก็กลายเป็นที่รู้จักว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับนักดนตรีหน้าใหม่ที่จะเล่น และที่เหลือก็เป็นประวัติศาสตร์ ในช่วงเวลานั้น Bluebird Cafe มีดารามากมาย เช่น Garth Brooks, LeAnn Rimes, Keith Urban และ Taylor Swift แต่ถึงแม้จะมีชื่อเสียงด้านดนตรีมากกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอาหารที่ดี – แซนด์วิช Nashville Dip และ Fried Chicken Mozzarella Sandwich เป็นของในตำนานอย่างแน่นอน

4.อาหารกลางวันของหลุยส์
สถานที่นี้ดีมากโดยพื้นฐานแล้วคิดค้นแฮมเบอร์เกอร์! ไม่จริงจัง: Louis 'Lunch อ้างว่าเป็นแหล่งกำเนิดของแฮมเบอร์เกอร์ แม้ว่าจะมีสถานประกอบการอื่นๆ มากมายที่อ้างสิทธิ์แบบเดียวกัน แต่นี่เป็นสถานประกอบการเพียงแห่งเดียวที่ได้รับการสนับสนุนจากหอสมุดแห่งชาติ ปล่อยให้จมลงไปสักครู่ Louis' Lunch ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2438 โดย Louis Lassen ช่างตีเหล็กด้วยการค้าขายและนักเทศน์โดยอาชีพ ในปี พ.ศ. 2429 เขาอพยพจากเดนมาร์กไปยังนิวเฮเวน ซึ่งเขาได้กลายเป็นพ่อค้าเร่ขายอาหาร ในที่สุด แทนที่จะขายวัตถุดิบอย่างไข่และเนย เขาเริ่มขายอาหารกลางวันอย่างแซนวิช ตามรายงานของ Louis' Lunch แฮมเบอร์เกอร์ตัวแรกถูกสร้างขึ้นในปี 1900 เป็นเวลา 15 ปีหลังจากที่ Lassen เริ่มต้นธุรกิจของเขา ลูกค้ารีบไปขออาหารกลางวันโดยอ้างว่า “หลุย! ฉันกำลังรีบ ตบลูกชิ้นเนื้อระหว่างแผ่นไม้สองแผ่นแล้วเหยียบมัน!” เช่นเดียวกับจิตใจที่ใจดีของเขา Lassen จำเป็นต้องทำและแซนวิชร้อนก็ถือกำเนิดขึ้น 17 ปีต่อมา หลุยส์ย้ายจากการขายอาหารกลางวันบนถนนมาที่อาคารอิฐที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นโรงฟอกหนัง แต่ Louis' Lunch ไม่เพียงแต่ขายเบอร์เกอร์ ไม่ ไม่ มันยังเสิร์ฟสลัดมันฝรั่งและพายแสนอร่อยอีกด้วย ความจริงที่ว่าอาจเป็นบ้านเกิดของแฮมเบอร์เกอร์หมายความว่าที่นี่เป็นหนึ่งในร้านอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดในสหรัฐอเมริกาและเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในนิวเฮเวนคอนเนตทิคัต มันยังเสิร์ฟสลัดมันฝรั่งและพายแสนอร่อยอีกด้วย ความจริงที่ว่าอาจเป็นบ้านเกิดของแฮมเบอร์เกอร์หมายความว่าที่นี่เป็นหนึ่งในร้านอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดในสหรัฐอเมริกาและเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในนิวเฮเวนคอนเนตทิคัต มันยังเสิร์ฟสลัดมันฝรั่งและพายแสนอร่อยอีกด้วย ความจริงที่ว่าอาจเป็นบ้านเกิดของแฮมเบอร์เกอร์หมายความว่าที่นี่เป็นหนึ่งในร้านอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดในสหรัฐอเมริกาและเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในนิวเฮเวนคอนเนตทิคัต

3. Joe's Stone Crab
Joe's Stone Crab ตั้งอยู่ที่หาดไมอามี่ รัฐฟลอริดา เปิดโดย Joe Weiss ในปี 1913 ไวส์ย้ายจากนิวยอร์กโดยหวังว่าจะบรรเทาอาการหอบหืดของเขา และในขณะที่เราไม่สามารถพูดได้ว่าอากาศในฟลอริดาช่วยปอดของเขาได้ แต่ก็ช่วยให้เริ่มต้นได้ทันท่วงที ธุรกิจของเขา สิ่งที่เริ่มต้นจากการที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าการรับประทานอาหารกลางวันบนถนนลูกรังริมชายหาดกลายเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา แม้ว่าร้านอาหารในปัจจุบันจะเรียกว่า Joe's Stone Crab แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ในความเป็นจริง สถานที่นี้ไม่ได้เริ่มคิดที่จะขายปูหินจนกระทั่งปี 1921 เมื่อนักวิทยาศาสตร์ (นั่นคือคนที่ศึกษาเรื่องปลา) นำปูหินไปหาโจเพื่อดูว่าพวกมันกินได้หรือไม่ วันนี้ Joe's เป็นผู้ซื้อก้ามปูหินฟลอริดารายใหญ่ที่สุดและมีบทบาทอย่างมากในอุตสาหกรรมนี้! ที่นี่ไม่เพียงแต่ขึ้นชื่อเรื่องปูยักษ์เท่านั้น แต่ก็มีการกล่าวถึงในสื่อหลายครั้งเช่นกัน เป็นจุดเด่นในภาพยนตร์ปี 1985 เรื่อง The Mean Season เช่นเดียวกับในนวนิยายเรื่องนิ้วทอง ที่ซึ่งเจมส์ บอนด์กินอาหารที่ดีที่สุดที่เขาเคยทานในชีวิต มันถูกอ้างอิงเป็นประจำโดย Golden Girls ไม่ต้องพูดถึง คนดังมากมายต่างแวะเวียนมาหาปู รวมทั้ง Amelia Earhart และ Jennifer Lopez ในปี 2019 Joe's Stone Crab เป็นร้านอาหารอิสระที่ทำรายได้สูงสุดในสหรัฐอเมริกาด้วยเงิน 38.4 ล้านดอลลาร์ ตอนนี้ปูเยอะมาก! รวมทั้ง Amelia Earhart และ Jennifer Lopez ในปี 2019 Joe's Stone Crab เป็นร้านอาหารอิสระที่ทำรายได้สูงสุดในสหรัฐอเมริกาด้วยเงิน 38.4 ล้านดอลลาร์ ตอนนี้ปูเยอะมาก! รวมทั้ง Amelia Earhart และ Jennifer Lopez ในปี 2019 Joe's Stone Crab เป็นร้านอาหารอิสระที่ทำรายได้สูงสุดในสหรัฐอเมริกาด้วยเงิน 38.4 ล้านดอลลาร์ ตอนนี้ปูเยอะมาก!

2.มอน อามี กาบี
ร้านอาหารสไตล์บิสโตรสไตล์ฝรั่งเศสที่อบอุ่นและเป็นกันเองแห่งนี้ประกอบด้วยรีวิวกว่า 17,000 รายการจาก TripAdvisor กว่า 17,000 รายการ เป็นสถานที่ยอดนิยมที่สุดแห่งหนึ่งในลาสเวกัสสตริป ลูกค้าหลั่งไหลไปกับวิวที่สวยงาม อาหารที่ยอดเยี่ยม และบริการที่น่าตื่นตาตื่นใจ แนวคิดของร้านอาหารแห่งนี้เป็นผลมาจาก Rich Melman ผู้ก่อตั้ง รับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารชั้นเลิศชื่อ Ambria เขาสนุกกับความรู้สึกของร้านอาหารฝรั่งเศสแบบสบายๆ และเขาคิดว่ามันเป็นสิ่งที่คนอื่นควรได้รับเช่นกัน ดังนั้น Mon Ami Gabi จึงถูกสร้างขึ้นด้วยการเปิดสถานที่แรกในย่านลินคอล์นพาร์คในชิคาโก อิลลินอยส์ Mon Ami Gabi แปลว่า "เพื่อนของฉัน Gabi" Gabi ที่เป็นปัญหาคือ Gabino Sotelino พ่อครัวที่ทำงานร่วมกับผู้ก่อตั้ง ในปี 2560 Mon Ami Gabi ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในร้อยร้านอาหารชั้นนำของประเทศ ร้านอาหารมียอดขาย 17.2 ล้านเหรียญสหรัฐและให้บริการอาหารประมาณ 300,000 มื้อ! Gabi ทำงานเป็นหัวหน้าพ่อครัวของร้านอาหารพร้อมกับ Mark Sotelino ลูกชายของเขา ในปี พ.ศ. 2564 Mon Ami Gabi มีสถานที่ตั้ง 5 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา รวมทั้งในโอ๊คบรู๊ค อิลลินอยส์ เรสตัน เวอร์จิเนีย และเบเทสดา รัฐแมริแลนด์

1.บานหน้าต่าง & Vino
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดคือ Pane & Vino ร้านอาหารอิตาเลียนที่มีรีวิวระดับ 5 ดาวเกือบสมบูรณ์แบบบน TripAdvisor และติดอันดับร้านอาหาร #1 ในไมอามี่บีช ตั้งอยู่ในฟลอริดา Pane & Vino เป็นหนึ่งในร้านอาหารที่มีคนพูดถึงมากที่สุดและด้วยเหตุผลที่ดี ส่วนใหญ่เป็นที่รู้จักสำหรับพาสต้าโฮมเมดสดใหม่ แต่ยังสำหรับพนักงานที่ดีและยินดีต้อนรับ ลูกค้าต่างชื่นชมในการบริการที่เอาใจใส่ของร้านอาหารและทีรามิสุอันเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งเป็นของหวานที่คุณจำเป็นต้องได้รับหากคุณเคยไปที่นั่น บรรยากาศมืดและอบอุ่นด้วยโคมไฟอันวิจิตรที่ห้อยลงมาจากเพดาน นักวิจารณ์คนหนึ่งถึงกับเรียกสถานที่นี้ว่าโรแมนติกเนื่องจากผู้คนและบรรยากาศที่อบอุ่น นอกจากนี้ เจ้าของพร้อมเสมอในกรณีที่คุณต้องการอะไร ลูกค้าอีกรายอ้างว่าคุณสามารถชมพ่อครัวเตรียมพาสต้าทำมือที่หน้าต่างด้านหน้าของร้านอาหาร เพิ่มความรู้สึกของอาหารอิตาเลียนแท้ๆ บริการเป็นกันเองและอาหารไม่เกินราคา! นอกจากนี้ สำหรับใครก็ตามที่มีข้อจำกัดด้านอาหาร เรามีข่าวดีมาบอกหนุ่มๆ ร้านอาหารแห่งนี้มีตัวเลือกมังสวิรัติและปราศจากกลูเตนมากมาย ซึ่งหมายความว่ามีบางอย่างสำหรับทุกคน!

5 สุดยอดร้านสุกี้ทั่วกรุง 5 สุดยอดร้านโจ๊กในกรุงเทพ 50 อาหารแปลกแต่ขายดีของญี่ปุ่น 101 เมนูซูชิ 5 สุดยอดร้านกระเพาะปลาในกรุงเทพ อาหาร 100 อย่างตามทางรถไฟสายยามาโนเตะ อาหารเวียดนาม ขนมไทยโบราณที่น่าจดจำ และ ขนมไทยมงคล ๙ อย่าง 30 อันดับขนมหวานเมืองคามาคูระประเทศญี่ปุ่น อาหารประเทศอาเซียน 7 ขนมหวานยอดฮิตของเยอรมัน  อาหารลาว 10 สายพันธุ์งูน่าทึ่ง 25 สถานที่ดำน้ำทั่วโลก 25 สัตว์น้ำรูปร่างหน้าตาประหลาด ไขปริศนาใครคือแจ๊คเดอะริปเปอร์ (Jack The Ripper) 20 พืชผักแปลกสายพันธุ์เก่าแก่ 10 อันดับสัตว์มีพิษ ตำนานธอร์ (Thor) เทพสายฟ้า 10 อันดับสัตว์สถาปนิก 15 สัตว์โลกสวยงามที่ใกล้สูญพันธุ์ เปิดแฟ้มลับชีวิตรัก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) เห็ดมีพิษ 10 อันดับฆาตกรเด็ก 10 อันดับสัตว์ผีดูดเลือด 10 อันดับสัตว์แปลกที่คนไทยนิยมเลี้ยงมากที่สุด 10 เกมส์ดีที่โลกควรรู้จัก ช่วยฝึกสมอง เด็กเล่นได้ไม่รุนแรง แนะนำ Android Games Cloud Computing http://megatopic.blogspot.com/2013/08/20-90s.html http://megatopic.blogspot.com/2013/12/dead-island-riptide.html http://megatopic.blogspot.com/2013/09/blog-post_2.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/application-iphone-ipad-1.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/blog-post_866.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/101.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/application-iphone-ipad-1.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/botox-filler.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_8739.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_8.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/great-wall-of-china.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_3921.html http://megatopic.blogspot.com/2013/10/blog-post_24.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_8781.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/blog-post_23.html http://www.blogger.com/%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7...%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_19.html http://megatopic.blogspot.com/2013/10/blog-post_6477.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/butterfly-pea.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_7684.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/blog-post_6.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_27.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/nikita-khrushchev.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_16.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_3574.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/8.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/blog-post_22.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_954.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_28.html http://megatopic.blogspot.com/2013/09/blog-post_17.html http://megatopic.blogspot.com/2013/11/2-tasty-too.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/blog-post_22.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/10.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/7.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_4.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/blog-post_7834.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/stephen-hawking.html http://megatopic.blogspot.com/2013/09/10_13.html http://megatopic.blogspot.com/2013/09/10_27.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/10.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_14.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/acerola-cherry.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_18.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/albert-einstein.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_30.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/blog-post_26.html http://megatopic.blogspot.com/2013/09/blog-post_6378.html http://megatopic.blogspot.com/2013/09/blog-post.html http://megatopic.blogspot.com/2013/10/blog-post_28.html http://megatopic.blogspot.com/2013/11/blog-post_24.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/apache-helicopter.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/blog-post_7038.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/25_22.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/blog-post_20.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/blog-post_28.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_4929.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/blog-post.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_18.html