โดย : แม่ช้อยนางรำ | ||||
ร้านอาหารอิสลาม..อร่อยที่สุดในกทม. ย้ายจากร้านเก่ามาอยู่บ้านใหม่ แต่แฮะ..แฮะ มันก็ร้านติดกันนั้นล่ะ" ไม่ได้ไปร้าน "อิสลามมิก" ในซอยกัปตันบุช ข้างสถานทูตฝรั่งเศส ตรอกโรงภาษีใกล้กับโอเรียลเต็ลเกือบปี ไปอีกทีถึงได้รู้ว่า เขาย้ายร้านแล้ว อุ๊ย!!ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะย้ายไปอยู่ไกลหร๊อก!! บอกแล้วก็ฮา!! ร้าน "อิสลามมิกใหม่" เขาย้ายขยับจากร้านเก่าไปไม่กี่ก้าวก็เท่านั้นเอง ที่ต้องโยกย้ายก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับใครเขาทั้งนั้น เพียงแต่ว่าร้านใหม่ เป็นร้านของตัวเองไม่ต้องเซ้ง ไม่ต้องเช่า แล้วก็ยังมีเนื้อที่บรรยากาศสบายกว่า | ||||
ร้าน "อิสลามมิก" เจ้านายคงจำได้ อีชั้นเคยพาเจ้านายไปกินแล้ว ที่นี้เจ้านายก็ไปเป็นประจำ แต่ระยะหลังไม่ค่อยไดไปก็เพราะหาที่จอดรถยาก หาที่นั่งก็ยังยาก แต่ตอนนี้สบายมาก ไม่มีปัญหา เจ้านายจะไปสักกองทัพก็ยังไหว เพียงแต่เจ้านายจะขนลูกน้องไปทั้งออฟฟิตเสียก่อนก็ยังได้นะเจ้าค่ะ มีเรื่องที่อีชั้นอยากจะเขียนเล่า เกี่ยวกับร้านใหม่ของ "อิสลามมิก" เรื่องนี้แปลกดีนะเจ้าคะ เจ้านายจำเถาองุ่นขนาดใหญ่ที่เลื้อยอยู่หน้าร้าน(เก่า) ได้มั๊ยเจ้าค่ะ? มันแปลกจริง..จริง บอกแล้วเจ้านายคงไม่เชื่อ แต่ต้องเชื่อเถอะเจ้าค่ะ เพราะเรื่องมันเป็นอย่างนี้ ธรรมดาองุ่นปลูกในกรุงเทพน่ะตายง่ายรอดยาก แต่องุ่นที่ร้าน "อิสลามมิก" ตั้งแต่ร้านเก่ารอดมาตลอด แถมเลื้อยคลุมหน้าร้านเป็นสัญลักษณ์ให้ได้เห็นกัน | ||||
เจ้านายเห็นแล้วจะร้องว่า..พระเจ้า!! องุ่นทั้งเถา องุ่นทั้งเครือไม่ตาย แถมยังออกลูกมาให้เห็นเป็นพวงใหญ่ หลายพวงอยู่หน้าร้าน เจ้านายสังเกตจากรูปที่อีชั้นเอามาลงดูก็แล้วกัน องุ่น "อิสลามมิก" อีชั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นองุ่นพันธุ์อะไร แต่ร้านอิสลามมิกปลูกเป็นสัญลักษณ์ไว้หน้าร้านเป็นสิบ..สิบปี พอย้ายมาอยู่ที่ใหม่ ก็ย้ายองุ่นมาด้วย ย้ายแล้วไม่ตายแถมยังออกลูกให้เห็นชื่นใจ อิสลามิกชนเห็นร้องต้องเปล่งคำมงคลว่า..อิน ชาร่าห์ หมายถึงว่า เป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า เอาล่ะเจ้าค่ะ!! สำหรับอาหารอิสลามร้าน "อิสลามมิก" นี้ไม่ต้องเขียนแนะนำอะไรให้มาก สรุปได้สั้น..สั้น ของเขาอร่อยทุกจาน | ||||
วันเสาร์เพิ่ม "ขนมจีนซาวน้ำ".. "ข้าวคลุกกะปิ" เมนูพิเศษที่อีชั้นแอบสั่ง ไม่อยากให้ใครรู้กลัวถูกแย่ง แต่สำหรับเจ้านาย ลูกน้องไม่มีความลับ ขอให้สั่ง "แกงกระหรี่ปลาอินทรี" อร่อยกว่ากระหรี่หัวปลาที่สิงคโปร์ ..ไม่ต้องพาสาวไปโชว์กินถึงที่นั่น เศรษฐียามนี้คนรักกันกินข้าวในเมืองไทย เธอรักเจ้านายได้เหมือนกันนะเจ้าค่ะ...เจ้านาย ***************************************************** ***************************************************** ร้าน "อิสลามมิก" ซอยเจริญกรุง 36 ตรอกกัปตันบุช(โรงภาษี) ข้างสถานทูตฝรั่งเศส ถนนเจริญกรุง โทรศัพท์ 0-2234-7911 โทรสาร 0-2630-5849 |
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 พฤษภาคม 2552 16:50 น.
โดย : แม่ช้อยนางรำ | |||||
ที่ทำให้ต้องมี 'เมนูใหม่' สองรายการตามมา เมนูไก่เหลืองกวางเจา ปลามังกรเซี่ยงไฮ้" ขอโทษเจ้าค่ะ...ขอโทษโปรดอภัย ข้าน้อยสมควรตาย ก็เพราะวันก่อนเจอเจ้านาย แล้วอีชั้นก็ถูกอัด!!เข้าให้ "มันอร่อยอะไรกันนักกันหนา จองโต๊ะทีไรก็ไม่ได้ จะต้องรออีกเดือนหน้าถึงจะได้กิน" เจ้านายว่า อีชั้นสงสัยถามไถ่ ก็ยังตะคอกกลับมา "ก็ไอ้ห่านหัวสิงโตย่างที่หล่อนบอกนะซีนะ ป่านนี้ผมยังไม่ได้กินเลย" โอ๊ย!!อพิโถ พิถัง กะละมังรั่ว ตัวนายน่าจะรู้นะจ๊ะว่า ห่านหัวสิงโตจากเมืองซัวเถาแต้จิ๋ว ที่เขาเอามาย่างแบบกวางตุ้ง ที่ภัตตาคาร "แชงการีล่า" ถนนพัฒนพงษ์ที่อีชั้นแนะนำไปเมื่อต้นปีนั้น อย่าว่าเจ้านายจะต้องรอคิวกันนานเป็นเดือนเลยเจ้าค่ะ อีชั้นคนเขียนแนะนำเอง ไปกินได้ครั้งเดียวเท่านั้น...คิวรอเป็นเดือนเหมือนกันเจ้าค่ะเจ้านาย อยากจะกินอาหารอร่อยต้องใจเย็น...เย็น เอาอย่างนี้ดีกว่าเจ้าค่ะ อีชั้นก็มีเมนูอร่อย...อร่อยจากเมืองจีนมาแนะนำให้เปิบกัน จะได้หายหงุดหงิดเรื่องห่าน งั้นเจ้านายมากินไก่กับปลาก็แล้วกัน ไก่ก็ไม่ธรรมดา ปลาก็พิเศษ | |||||
ส่วนปลาก็เป็น "ปลากิมเล้ง" แปลจีนเป็นไทยก็หมายถึง "ปลามังกรทอง" มาจากเมืองเซี่ยงไฮ้ ที่ภัตตาคาร "มิราม่า ฮอทพอทซีฟู้ด" เขาหิ้วเอามาขาย เจ้าเดียวในเมืองไทยตอนนี้ ก่อนอื่น...ก่อนที่อีชั้นจะแนะนำเจ้านายว่าจะกินไก่กินปลากันอย่างไร เรามาอธิบายให้เจ้านายได้รู้จักภัตตาคารที่เรียกว่า "ฮอทพอท ซีฟู้ด" กันให้ถูกต้องเสียก่อน มิฉะนั้น...เดี๋ยวเจ้านายจะหงุดหงิด กระบิดกระบวนกันอีกแล้ว เรื่องนี้อย่างนี้เจ้าค่ะ | |||||
(Mirama Hotpot Seafood) เป็นภัตตาคารฮ่องกง ที่ได้รับความนิยมมากมาหลายปีคือเขาจะมีหม้อต้มน้ำซุปอร่อย 2 อย่างอยู่กลางโต๊ะ ด้านหนึ่งเป็น "ซุปเครื่องยาจีน" จะเรียกว่าซุปน้ำใสก็ได้ อีกด้านเป็น "ซุปซาเต๊" คือเครื่องยาจีนเช่นกัน แต่เป็นน้ำข้นคนกินเลือกได้สองน้ำตามรสนิยม วิธีกินก็ให้สั่งเครื่องลวกซึ่งมีทั้งผัก อาหารทะเลรวม ทั้งเนื้อสัตว์ทั้งสองขา..สี่ขา ให้คุณจิ้มลวกกันตามใจ..เขาว่ากินเท่าไหร่ไม่กลัวอ้วน | |||||
ไก่เหลืองเป็นไก่สาวเนื้อนุ่ม หนังนิ่มแล้วก็ห๊อม..หอม กินได้ทั้งตัวเป็นอาหารโป๊ว!! ส่วนปลากิมเล้ง หรือปลามังกรทองก้างเยอะหน่อย แต่ปลาอร่อยต้องก้างเยอะ ทั้งสองอย่างสูตรไม่เหมือนกัน ถ้าไก่เป็นสูตรกวางตุ้งจะออกเค็ม..หวาน แต่ถ้าปลาเป็นสูตรเซี่ยงไฮ้จะมีเปรี้ยว เผ็ด อร่อยเด็ดทั้งนั้น ถ้าไม่อิ่มให้สั่ง "กุ้งมังกรผัดหมี่ราดชีส" สมัยก่อนต้องไปกินฮ่องกง ตอนนี้มากินที่ "มิราม่า ฮอทพอท ซีฟู้ด" ก็ยังได้ ที่สำคัญไม่ต้องโทรสั่งจองล่วงหน้าเหมือน "ห่านหัวสิงโตย่าง" กินไก่..กินปลาระดับห้าดาวเมืองจีนร้านนี้ โทรมาบอกกันสักชั่วโมง..สองชั่วโมงเท่านั้น ก็โอเค แล้วเจ้าค่ะ **************************************************** **************************************************** ภัตตาคาร "มิราม่า ฮอทพอท ซีฟู้ด" อาคารสีลมช้อปปิ้งพลาซาร์ ชั้น 3 ถนนสีลม โทรศัพท์ 0-2266-7634, 0-2635-1070 โทรสาร 0-2635-1072 |
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 4 พฤษภาคม 2552 17:32 น. | |
โดย:แม่ช้อยนางรำ | ||||
นี่คือร้านปักษ์ใต้เมืองนคร อร่อยที่สุดในกทม." ความจริง...ร้าน "บ้านไอซ์" อาหารปักษ์ใต้ร้านนี้เจ้านายรู้ดีอยู่แล้ว เพราะเป็นร้านเก่าของถนนประชาชื่น หลังวัดเสมียนนารี คลองประปา เปิดขายมา 20 กว่าปี แต่ที่เอามาเขียนเรียนเจ้านายคราวนี้ก็เพราะว่า เมื่อสอง...สามเดือนที่ผ่านมา เขาปิดร้านปรับปรุงใหม่ ทำให้เป็นร้านครัวไทยทันสมัย สมกับที่ขายดิบขายดีมานานถึงเพียงนี้ แต่เขาเปิดร้านใหม่ เมนูเก่าที่อร่อย...อร่อยเขาก็รักษาไว้ แล้วก็เพิ่มเมนูใหม่ เป็นการฉลองร้าน เมนูใหม่ที่ว่าเจ้านายคงจะไม่เคยเปิบ อีชั้นจึงอยากจะแนะนำให้เจ้านายไป...เปิบฝีมือเก่าของคนเมืองนครกัน เมนูแรก...ที่เป็นเมนูใหม่เป็น "แกงส้มหน่อไม้ดองปูทะเล" อะ...อะ อย่าเพิ่งว่านี่มันก็เป็นแกงเหลืองหน่อไม้ดอง ปลากะพงหรือปลาสาก ปลากระบอก อะไรที่เคยเปิบ มันม่ายช่าย ฟังแล้วคล้ายกัน แต่ปรุงแล้วรสชาติแตกต่างกันเจ้าคะ | ||||
รวมทั้งอีกเมนูใหม่ คือ "ปูทะเลผัดกะทิ" ซึ่งฟังครั้งแรกเจ้านายก็คงจะคิดว่ามันก็คงเป็น ปูต้มกะทิใส่หอมแดง...แบบภาคกลาง ก็ต้องบอกว่าม่ายช่าย...ม่ายช่าย ปูทะเลเป็นปูไข่ เอาไปผัดหัวกะทิมีต้นหอมใส่ มันกินอร่อยสะใจกว่ากันเยอะเลย สองเมนูนี่ อีชั้นไม่เคยเห็น เป็นสองเมนูที่คนนครเขาทำกินกันในบ้าน ไม่ได้เอาเข้าร้านอาหาร เพราะมันจะต้องสีมือคนโบราณถึงจะทำเป็นกัน ส่วนเมนูเก่าที่โด่งดังมาช้านานนั้น ก็ยังมีอยู่ทุกเมนู เอาว่าอีชั้นขอเลือกสรรมาบรรณาการเจ้านาย ให้ไปจ่ายกะตังค์กินซะ ก็มีดังนี้ เมนูเก่า ขาประจำรู้จักกันดี "ขนมจีนน้ำยา"(ปักษ์ใต้)ใช้ปลาน้ำดอกไม้หรือที่คนปักษ์ใต้เรียกว่า "ปลาสาก" ชุดหนึ่ง 90 บาท "ข้าวยำ" อาหารสุขภาพที่กินอร่อยปาก เครื่องเคราครบเหมือนที่กินปักษ์ใต้ จานละ 90 บาท "ผัดสะตอเครื่องแกงแถมกะปิใต้" 130 บาท "คั่วกลิ้ง" เนื้อโคขุนโพนยางคำ 140 บาท แต่ถ้าเป็น หมู ไก่ 100 บาท "ปลาทูต้มเค็ม" ทรงเครื่อง 100 บาท แกงเหลือง แกงไตปลา ปลาทอดขมิ้นดูราคาเอาเอง | ||||
เพราะคนทำเป็นคนเมืองนครรุ่นคุณยาย...คุณย่า ทำขายโชว์สีมือให้คนกรุงเทพฯหรือคนที่ไหนได้รู้ว่าอาหารใต้ อาหารสูตรคนเมืองนครนั้น ห-ร่-อ-ย อย่างไร แต่ที่อีชั้นต้องเอามาเขียนเล่าใหม่ เพราะเขาปิดร้านปรับปรุงให้ทันสมัย สองเดือน...สามเดือนทีผ่านมา ก็อยากให้เจ้านายรู้ไว้ ถึงเจ้านายจะเป็นขาประจำ แต่เจ้านายคงไม่รู้หรอกว่า ปรับปรุงใหม่คราวนี้ น้องไอซ์ ลูกนายอิ๊บ หลานแม่ช้อย เพิ่มเมนูใหม่ หรอยจังฮู้ อีก สอง...สามเมนู ...รู้แล้ว เจ้านายไม่ชวนลูกน้องไปเปิบ ถึงเป็นนายก็เถิด ลูกน้องโกรธตาย... | ||||
ร้าน"บ้านไอซ์" ถนนประชาชื่น คลองประปา หลังวัดเสมียนนารี โทรศัพท์ 0-2589-4875,0-2580-5117 เปิดขายทุกวัน ระหว่าง 11.00-22.00 น. |
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 27 เมษายน 2552 17:18 น. | |
โดย : แม่ช้อยนางรำ | |||||
เป็นร้านขวัญใจข้าราชการนิสิตนักศึกษา ตั้งแต่อยู่เพิงข้างถนนจนมาขึ้นร้านรวง" เจ้านาย...เจ้าขา เดี๋ยวนี้หาร้านข้าวแกงอร่อย…อร่อยยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพ คิดสะระตะแล้ว มีร้านข้าวแกงอร่อยไม่ถึง 10 เจ้า สิบเจ้าจริง..จริงนะเจ้าคะ แต่ถ้าไปต่างจังหวัดก็ยังพอมีอยู่บ้าง แต่ละจังหวัดก็มีข้าวแกงอร่อยแตกต่างกันไป อย่างอาทิตย์นี้อีชั้นจะชวนเจ้านายไปนครปฐม เดี๋ยวนี้ไปนครปฐมสะดวกสบายกว่าไปเยาวราช สีลม ขับรถขึ้นทางด่วนบรมราชชนนีจากสะพานพระปิ่นเกล้าไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็ถึงร้านข้าวแกงอร่อยเจ้านี้แล้ว ข้าวแกง "ทองดี" หรือที่ชาวบ้านที่นี่เขาเคยเรียกว่า "ข้าวแกงลูกสิบสอง" ฟังแล้วเหมือนเรื่องจักร..จักร วงศ์..วงศ์ “พระรถ-เมรี” หรือมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "นางสิบสอง" ที่เรียกเช่นนี้เพราะ "แม่ทองดี" มีลูกถึงสิบสองคนจริง..จริ๊ง! แต่สามารถเลี้ยงลูกมาได้จรสำเร็จมหาวิทยาลัยเรียงรายหน้า ก็เพราะฝีมือทำข้าวแกงส่งลูกเรียนนี่ล่ะเจ้าค่ะ เรื่องของ "แม่ทองดี" ก็เลยเป็นตำนานของคนนครปฐมจะเล่าถึงข้าวแกงฝีมือที่หนึ่ง ซึ่งเดี๋ยวนี้หาคุณแม่เก่งอย่างนี้น้อยเต็มที..แค่มีลูกคนก็บ่นกระปอดกระแปด กันแล้ว แม่ทองดีที่ว่า แต่ก่อนนั้นก็ตกประมาณ 50 กว่าปี ขายข้าวแกงข้างถนนข้างทาง แต่ยังไม่ได้ทำข้าวแกงหรอกนะเจ้าค่ะ | |||||
แม่ทองดีก็เลยตัดสินใจทำอาหารป่าขาย ก็อย่างว่าล่ะเจ้าค่ะ ผัดเผ็ดเก้ง แกงป่ากวาง ฝีมือแม่ทองดีเขาขึ้นชื่อเรื่องถึงเครื่อง เรื่องมันช่วยไม่ได้ ถ้ามีฝีมือซะอย่าง พอได้จังหวะเข้าทาง ร้านขายข้าวแกงของแม่ทองดีก็เลยโด่งดังขายดิบขายดี จนกระทั่งมาเซ็งตึกอยู่ในเมืองนครปฐมได้ ก็ร้านที่ขายอยู่ทุกวันนี้ไง!! พอขึ้นร้านขึ้นรวง อาหารป่ากลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แม่ทองดีก็เลยต้องเปลี่ยนเป็นอาหารเมือง แต่เรื่องฝีมือก็ไม่ตกแต่อย่างไร คราวนี้คนกินมากขึ้น เพราะบางคนแสลงใจไม่กล้ากินอาหารป่า ก็เท่านั้นล่ะเจ้าค่ะ รวยขึ้นมาทันตา โด่งดังถึงขนาด นักเขียนใหญ่สมัยนั้นอย่างคุณ "ภิญโญ ศรีจำลอง" จากนิตยสาร "ฟ้าเมืองไทย" ของคุณพี่ "อาจินต์ ปัญจพรรค์" ต้องมาขอสัมภาษณ์เอาไปลงให้คนรู้จักด้วยความประทับใจในฝีมือ | |||||
สำหรับร้านข้าวแกง "ทองดี" 1. "แกงป่า" จะต้องบอกด้วยว่าเอาสูตรแบบป่าจริง..จริง หรือป่าในเมือง จะได้ไม่เคืองกันสำหรับคนไม่ทานเผ็ด 2. "ผัดใบกระเพรา" จะไก่หรือจะหมูก็ได้ ที่นี่ใช้ใบกระเพราสวนสีเขียวไม่กระเพราไก่สีแดง 3. "แกงแดง" ขอบอกว่าเดี๋ยวนี้แกงเนื้อ แกงไก่ แกงปลาดุก เป็นแกงเขียวหวานเสียส่วนใหญ่ แต่ที่นี่แกงแดงแตกต่างไปใครไม่รู้จักต้อง..เปิบ 4. "แกงส้มหน่อไม้ดอง" หน่อไม้ชาวบ้านดองสะอาด 5. "น้ำพริกกะปิ" ปลาทู (แม่กลอง) ทอดยอดอร่อยถ้าใส่แมงดาแล้วก็ยังมีอีกสิบกว่ารายการสั่งมาเถิดเจ้าค่ะเจ้านาย ต้มข่าไก่ ก็อร่อยซดคล่องคอ ก็เหมือนอย่างที่บอกเจ้านายว่า ข้าวแกงโบราณหากินได้ยากในกรุงเทพ เมืองคนทันสมัย กินข้าวแกงกันไม่เป็นแล้ว ไปเถอะเจ้าค่ะ เสียเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ถึงร้านอาหารไทยแบบโบราณ ที่ยังไม่บานบุรี แต่ถ้าให้ดีควรจะโทรไปสั่ง ไปบอกล่วงหน้าเพราะว่าร้านนี้...ช้าหมด อดกินนะเจ้าค่ะ เจ้านาย ******************************************************** ******************************************************** ร้านข้าวแกง "ทองดี" 27 ถนนพระยากง ตลาดบน อำเภอเมืองนครปฐม โทรศัพท์ 0-3425-8939 |
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 เมษายน 2552 15:41 น.
โดย : แม่ช้อยนางรำ | ||||
ยังหนีขึ้นมาอยู่ "วังน้ำเขียว" โคราช อากาศดี..อาหารปลอดสารพิษทุกจาน" อีชั้น..นะรู้ว่า เจ้านายเคยไปวังน้ำเขียว นครราชสีมา แต่ไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่เจ้านายยังไม่รู้จัก "ร้านลุงแว่น" อุทยานแห่งชาติทับลาน หรือที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า "ผาเก็บตะวัน" ที่อีชั้นกล้าว่าเช่นนั้นก็เพราะ เจ้านายไปวังน้ำเขียว เพื่อจะไปดื่มไวน์จาก "ไวน์เนอรี่" ที่มีอยู่หลายแห่ง หรือไม่ก็ไปตีกอล์ฟ ไปอย่างนั้นจะไปรู้จักร้านอาหารอร่อยแบบชาวบ้านได้อย่างไงกันเรื่องนี้มันต้องอีชั้น | ||||
ตรงนั้นแหละเจ้าค่ะ จะมีถนนที่เรียกว่า "ไทยสามัคคี" แยกเข้าอุทยานแห่งชาติทับลาน ที่รีสอร์ทมากมายที่สุดในเมืองไทย คะเนได้ว่าเป็นร้อย..ร้อยรีสอร์ท ก็ขอให้เจ้านายขับรถเลี้ยวเข้าไปหน่อย เลยตลาดชาวบ้านประมาณ 100-200 เมตร ก็จะเห็นร้านอาหารชื่อ "ลุงแว่น" อยู่ทางขวามือ ป้ายที่เห็นชัดเจนก็คือ "ป้ายเปิบพิสดาร" กับป้ายที่มีข้อความขึ้นไว้ว่า "ลุงแว่น จากศรีราชา" ก็อย่าแปลกใจเลยเจ้าค่ะ ลุงแว่นนี้ ก็คือลุงแว่นที่อีชั้นเคยแนะนำเมื่อสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ลุงแว่นทำอาหารทะเลแบบคนศรีราชา ที่อร่อยมากก็คือ แกงป่า ปลาสละแดดเดียว ไข่เจียวหอยนางรม ปูม้านึ่งสด...สด หมู่ป่าต้มระกำ ฯลฯ | ||||
แต่ตอนนี้มีอายุ ลุงแว่นแกโยกย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ที่วังน้ำเขียว ด้วยเหตุผลอย่างเดียวก็คือ อากาศเย็นสบายทั้งปี แถมยังมีโอโซนอากาศบริสุทธิ์อันดับที่ 5 ของโลก มาอยู่ที่นี่ ตอนแรกก็ไม่คิดจะตั้งร้านรวงอะไร วัน..วันเลี้ยงไก่ เพาะเห็ด ปลูกผักขาย โดยถือหลักแบบคนรุ่นใหม่ คือเป็นอาหารแบบออร์แกนนิค ปลอดสารพิษ แต่อยู่ไปแฟนเก่าขาเที่ยวที่นี่จำได้ เอ๊า!!ขายก็ขาย ไม่ใช่เอาผักหญ้า ไก่ ไข่ อาหารออร์แกนนิคที่มีทั่วไปแถวนั้น แต่สั่งลูกหลานส่งอาหารส่งอาหารทะเลจากชลบุรีมาให้เป็นประจำทุกวัน เพราะถนนสายนี้เป็นถนนขนส่งอาหารทะเลจากตะวันออกมาออกอีสานเป็นประจำอยู่แล้ว | ||||
(ทุกรายการปลอดสารพิษ) เห็ดเออรินจิผัดฉ่า, เห็นโคนญี่ปุ่นยำ หรือต้มยำ, เห็ดหอมเมืองจีนผัดน้ำมันหอย, ไข่เจียวหอยนางรม, แงป่าไก่บ้าน, ผักออร์แกนนิคจำพวกคะน้า กวางตุ้งผัดน้ำมัน ที่สำคัญก็คือ "ปลาสละแดดเดียว" ทอด...ยอดที่ซู้ด!! คราวนี้ทีหลังเจ้านายไปซูดโอโซนที่วังน้ำเขียว ก็อย่าลืมขับรถเลี้ยวเข้าไปกินอาหารชาวบ้านปลอดสารพิษของร้าน"ลุงแว่น" ไปวังน้ำเขียวซูดโอโซนอย่างเดียวไม่พอ จะต้องกินอาหารออร์แกนนิคร้านลุงแว่น ...ท้องแน่น สมองปลอดโปร่ง โล่งกายโล่งใจ ถูกกะตังค์อีกต่างหากนะเจ้าค่ะ...เจ้านาย **************************************************** **************************************************** ร้านลุงแว่น ถนนไทยสามัคคี ทางเข้าอุทยานแห่งชาติทับลาน อ.วังน้ำเขียว นครราชสรมา โทรศัพท์ 08-9400-6523 |
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 6 เมษายน 2552 16:34 น. |
โดย : แม่ช้อยนางรำ | ||||
ให้กลายเป็น "ถนนอาหารทะเล" ที่โด่งดังที่สุดของประเทศ ถนนเล็กที่ว่า ตอนนี้กลายเป็นถนนใหญ่ไปมาสะดวกสบาย" "แม่ช้อยจ๋า เชิญมากินข้าวที่ครัวแสวง บางขุนเทียนทะเลบ้างซีจ๊ะ" เจ้านาย เจ้าค่ะเจ้าขา เมื่อวันก่อน "เฮียกุ่ย" หรือชื่อเต็มแต่ไม่ค่อยจะมีใครเรียกกันว่า "พิสิษฐ์ บุญไพศาลดิลก" เจ้าของร้านอาหารทะเล "แสวงซีฟู้ด" ถนนบางขุนเทียนทะเล ฝั่งธนบุรีโทรศัพท์มาชวนอีชั้นไปกินข้าว ซึ่งก็หมายถึงอาหารทะเลกุ้ง หอย ปู ปลา สารพัดของร้านที่นักเลงเปิบรู้จักกันมาสิบกว่าปี ใจนะอยากจะไปอยู่หรอกเจ้าค่ะ อาหารทะเลร้าน "ครัวแสวง" ที่ว่านี้อร่อย!! แต่ช้อยไปไม่ไหว เบื่อถนนหนทางที่ตอนหลังอยู่ในระยะก่อสร้าง ไม่สะดวกสบาย รถราติดกันพัลวัลพัลเก อยู่บ้านกินปลาทูทอดน้ำพริกกะปิดีกว่า...อาหารทะเลเหมือนกัน | ||||
"แม่ช้อย ไปอยู่ที่ไหนมาถึงไม่รู้ว่า ถนนบางขุนเทียนทะเลตอนนี้เขาขยายถนนเป็นสี่เลนใหญ่ ก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว คุณป้าขับรถจากปากทางถนนพระราม 2 มาถึงร้านผมสี่..ห้านาทีก็ถึงแล้ว สบาย..สบาย รถไม่ติด ถนนเรียบยังกับนั่งพรมวิเศษเหาะมา ท้าพิสูจน์จ๊ะคุณป้า" หา...หาจริงรึ? ขอให้มันจริงเถิดน่าอาเฮีย!! เป็นอันว่า อีชั้นตกลงใจรับเชิญ "เฮียกุ่ย" ไปกินอาหารทะเลที่ "แสวงซีฟู้ด" เพราะอยากจะพิสูจน์ว่าถนนบางขุนเทียนทะเล เขาสร้างเสร็จจริง..อะปล่าว?? แล้วก็อยากจะไปกินกับข้าวทะเลของเขาด้วย ถึงจะต้องจ่ายกะตังค์ก็จะเป็นอะไรไป เมื่ออร่อยคุ้มค่า | ||||
เป็นลูกค้าอุดหนุนกันมาตั้งแต่เปิดร้าน เมื่อสิบปีสมัยอีชั้นนั่งเป็นผู้บริหารนิตยสาร "ชีวิตต้องสู้" แล้วรู้ว่าชีวิตเฮียกุ่ยสู้น่าดู สู้จากล้มลุกคลุกคลานมีหนี้สินบานตะไท แล้วกลับมาฟื้นขึ้นใหม่เมื่อมาขายอาหาร แล้วทุกอย่างก็จริงอย่างที่เฮียว่าทุกประการ ถนนบางขุนเทียนทะเล ตั้งแต่ปากทางเข้าที่แยกจากถนนพระราม 2 ที่จะเริ่มกันที่ "วัดหัวกระบือ" ตอนนี้ราบเรียบขับสบาย รถราไม่ติดไปจนถึงสุดถนนตรงทางลงสู่ทะเล แล้วมีเมนูอะไรใหม่ ต้อนรับถนนตัดเสร็จใหม่ อีชั้นถามเล่น...เล่น "เฮียกุ่ย" กลับตอบจริง...จังว่า "กินปลาเก๋าเสือมั๊ย มีขายที่แสวงซีฟู้ดแห่งเดียวในประเทศไทย" | ||||
"ปลาเก๋าเสือ" เนื้อแน่น..หนังนุ่ม ปลาเก๋ามีหลายชนิด มีหลายพันธุ์ ตั้งแต่ราคาไม่กี่สิบไปจนถึงกิโลเป็นพัน แต่ปลาเก๋าเสือทั้งอร่อย ทั้งราคาไม่แพง ขอแนะนำให้เอามาต้มยำน้ำข้น หรือต้มยำน้ำใส อร่อยชนิดหากินที่ไหนไม่ได้ "เฮียกุ่ย" เหมาเจ้าเดียว อาทิตย์นี้หรืออาทิตย์ไหน ถ้าเจ้านายผ่านไปแถวบางขุนเทียนแวะเวียนไปกินซีฟู้ดร้าน "ครัวแสวง" ได้ แล้วไม่ต้องกลัวว่ารถยนต์ราคาเป็นสิบล้านของเจ้านายจะซอกซ้ำให้เจ้านายระกำใจ ..รถก็สบาย เจ้านายก็อร่อย ช้อยรับรอง ถ้าผิดคำพูดขอให้เจ้านายเป็นเจ้ามือเลี้ยงต่ออีกสักมื้อก็ยังได้นะเจ้าค่ะ..เจ้านาย ****************************************************** ****************************************************** ร้าน "ครัวแสวงซีฟู้ด" ถนนบางขุนเทียนชายทะเล กทม. โทรศัพท์ 0-2849-3191 ถึง 3 |
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มีนาคม 2552 15:29 น.
โดย : แม่ช้อยนางรำ | |||||
แต่ไม่ใช่ "โยโกะ รีสอร์ท" ไทรโยค เมืองกาญจน์ อาหารที่นี่ "ปลอดสารพิษ" และที่สำคัญคือ...อร่อย" เดือนมีนา..อากาศร้อนเป็นบ้านะ เจ้านาย อยู่กรุงเทพไม่ได้ มันจะตายเอา ไอ้จะไปไกลก็ไม่ไหว วันจันทร์จะต้องมาทำงาน ในที่สุดก็นึกขึ้นมาได้ว่า มีพวก..พวกกันเปิดรีสอร์ทกลางป่ากลางเขา ริมแม่น้ำแคว ไทรโยค เมืองกาญจน์แค่นี้ ไปเช้าเย็นกลับก็ได้ หรือจะนอนค้างวักคืนสองคืนยังไหว ไปชาร์ตไฟ เพิ่มพลังงานกินอาหารให้อร่อย นอนพักผ่อนให้สบายริมแม่น้ำเชิงภูเขาเมืองกาญจน์ไม่ร้อนเท่ากับที่เขาว่ากัน หร๊อก!! จะบอกให้ | |||||
บริเวณนี้แต่เดิมเป็นที่ตั้งกองทัพญี่ปุ่น ที่มาสร้างทางรถไฟสายมรณะไง!! ไปตอนนี้ก็จะเห็นบรรยากาศเก่า....เก่า ให้ระลึกนึกถึงว่า เมื่อหกสิบกว่าปีบริเวณนี้เป็นป่าทึบแต่ก็มีความพยายามที่เปิดป่าสร้างทาง รถไฟ จากประเทศไทยให้ไปทะลุประเทศพม่า จนเป็นที่มาของประวัติศาสตร์โลกครั้งสำคัญ กับเหตุการณ์ที่เรียกว่า "สะพานข้ามแม่น้ำแคว" แต่รีสอร์ทนี้ทำไมไม่ตั้งชื่อว่า "โกโบริ" ก็ไม่รู้แฮะ? เจ้าของชื่อคุณ "อนันต์ เดชอนันตชาติ" เป็นเพื่อนรุ่นพี่ชีวิตต้องสู้น่าดู รู้จักกันมาเป็นสิบปีบอกกับอีชั้นว่า ที่ตั้งชื่อเป็น "โยโกะ" ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับ "โยโกะ โอโนะ" เมียของจอห์น เลนนอล "สี่เต่าทอง" | |||||
ชื่อนี้ขลังดี คนต่างประเทศทั่วโลกรู้จักเพราะเป็นลูกค้าชื่อนี้เหมาะที่สุดแล้ว อีชั้นเลือกมารีสอร์ทนี้ ด้วยเหตุผลหลายประการเจ้าค่ะ แต่เหตุผลสำคัญก็คือ อีชั้นเป็นเรื่องมากในการกินการอยู่ กินต้องอร่อย อยู่แล้วต้องสบาย "โยโกะ รีเวอร์แคว รีสอร์ท" เป็นสเปคของอีชั้น เพราะเป็นลูกค้าเก่าแก่กันมาหลายปีจนกระทั่งไว้เนื้อเชื่อใจเรื่องอาหาร เพราะนอกจากจะอร่อย แบบฝีมือคนพื้นบ้านกาญจนบุรีแล้ว อาหารที่นี่เป็นอาหารปลอดสารพิษ หรือจะเรียกว่าเป็น "อาหารออร์แกนนิค" ก็ไม่ผิดอะไร และที่ไว้เนื้อเชื่อใจกันได้เพราะผักหญ้าทั้งหลาย คนงานรีสอร์ทปลูกไว้ใช้เอง ถ้าเจ้านายไปก็จะได้เห็นกับตา ผักที่เขาปลูกมีทั้งผักเมืองจีน คะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้ง ฟัก แฟง แตงกวา ฯลฯ ผักไทยก็มีตั้งแต่ถั่วฝักยาว มะเขือ พริก ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ใบโหระพา ใบแมงลัก ใบกระเพราฯ ผักแขกก็มีอยู่เช่นกันอย่างมะเขือยาว ถั่วแขก ยังขาดแต่ผักฝรั่ง อย่างรอกเกต เรดโอ๊ค ผักโขม ซาลารี่ เท่านั้นยังปลูกไม่ได้ แต่มะเขือเทศสบายมีให้ทำกับข้าวทุกวัน เจ้านายมาดูเมนูอาหารอร่อย อาหารไร้สารพิษปลอดภัยกันก็ได้ | |||||
"โยโกะ รีสอร์ท" ผักบวบกับไข่ ผักหวาน(ผักป่า)ทอดไข่ ยำผักหวานกับผักสารพัดปลอดสารพิษ แกงป่าไก่บ้านถั่วฝักยาวไร้สารพิษ กบภูเขาทอดกระเทียมหรือผัดเผ็ด ปลาคังในแม่น้ำแควต้มยำ หรือลวกจิ้ม (อาหารราคาระดับ 100-200 บาทเท่านั้น) อาทิตย์นี้ เจ้านายลองขับรถไปไทรโยคพิสูจน์ได้ หาง่ายไปสบายเลยตัวจังหวัดมุ่งหน้าไปทางอำเภอไทรโยค แล้วก็ให้เลี้ยวรถไปทาง "ถ้ำกระแซ" ที่อยู่ริมหน้าผารถไฟสายมรณะ เพียงเท่านี้ก็ถึงได้ จะไปเช้าเย็นกลับก็ตามสบาย แต่ถ้าจะให้สบายยิ่งกว่าค้างสักคืนก็ได้เจ้าค่ะ เลือกนอนบ้านเรือนแพ หรือจะนอนกระท่อมดิน หรือบ้านถ้ำ บ้านฝรั่ง ถ้าไปเดือนนี้ยังมี "ผักหวานป่า" ถ้าไปเดือนหน้ามี "เห็ดโคน" หรือจะไปเดือนไหนก็โดนเพราะมีอาหารปลอดสารพิษให้เปิบอร่อยได้ทั้งปี เจ้าค่ะ...เจ้านาย ******************************************************** ******************************************************** "โยโกะ รีเวอร์แคว รีสอร์ท" 148 หมู่ 1 บ้านวังโพธิ์ ต.ลุ่มสุ่ย อ.ไทรโยค กาญจนบุรี 71150 โทรศัพท์ 0-3459-1414 ถึง 15, 08-1208-3277 โทรสาร 0-3459-1410 |
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 23 มีนาคม 2552 17:09 น. |
โดย : แม่ช้อยนางรำ | |||||
“แม่วารี ปากซอยทองหล่อ” ขายดิบขายดีระดับ “สี่ดาว” มานานกว่า 50 ปี” บ้านในคลองบางหลวง ฝั่งธนบุรีของคุณหญิงย่าอีชั้นปลูกต้นมะม่วงน้ำดอกไม้ไว้หลายต้น อีชั้นซุกซนปีนป่ายขึ้นไปเก็บกินเป็นประจำ แล้วก็สงสัยว่าทำไมคุณหญิงย่าจึงได้ปลูกแต่มะม่วงน้ำดอกไม้ ทำไมไม่ปลูกมะม่วงอกร่องเหมือนอย่างชาวบ้านที่เขานิยมกัน คุณหญิงย่าบอกอีชั้นว่า “เด็กโง่ มะม่วงอกร่องมันหวานร้อน ส่วนมะม่วงน้ำดอกไม้มันหวานเย็น หน้าร้อนมันต้องกินมะม่วงหวานเย็นชื่นใจ จำไว้” สามสิบสามปี...ที่อีชั้นเขียนคอลัมน์แนะนำอาหารหวานคาว “เปิบพิสดาร” อีชั้นจำได้ว่า ที่ปากซอยทองหล่อ หรือสุขุมวิท 55 มีร้านขายข้าวเหนียวมะม่วงเจ้าหนึ่งขายดิบขายดี จนอีชั้นต้องไปสำรวจดูว่า...ขายดีอะไรกันนักกันหนา เมื่อปี 2519 คราวนั้น อีชั้นจึงรู้ว่า ร้านขายข้าวเหนียวมะม่วงเจ้านี้ ขายดีไม่ใช่เพราะมูลข้าวเหนียวได้นุ่มนวล หวานมัน เก็บไว้นานก็ไม่แข็งเพียงเท่านั้นซะเมื่อไหร่กัน แต่เพราะเขามีมะม่วงพันธุ์ “น้ำดอกไม้” แบบมะม่วงของคุณหญิงย่าอีชั้นขายเป็นประจำ ลูกค้าซื้อไปไม่ผิดหวัง เพราะน้ำดอกไม้ หวานเย็น หวานชื่นฉ่ำหัวใจยามอากาศร้อน...ร้อนอย่างนี้ ร้านข้าวเหนียวมะม่วงเจ้าที่ว่าชื่อว่าร้าน “แม่วารี” คุยกันตั้งแต่คราวนั้นถึงได้รู้ว่า | |||||
เพราะฉะนั้นจึงเป็นร้านเก่าแก่ของสุขุมวิท มาตั้งแต่สมัยทองหล่อยังไม่พลุกพล่านเหมือนอย่างทุกวันนี้ ส่วนที่ได้ทำเลดีมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็เพราะแม่วารีมีสวนมะม่วงน้ำดอกไม้อยู่ที่ “หัวตะเข้” พระโขนง ซึ่งไม่ห่างจากซอยทองหล่อสักเท่าไหร่ ลูกค้าจึงซื้อมะม่วงน้ำดอกไม้จากในสวนของแม่วารี รวมทั้งได้ข้าวเหนียวมูลฝีมือคนรุ่นเก่าอร่อยถูกปากถูกใจ วันก่อน...อีชั้นเห็นว่านี่มันก็ถึงฤดูข้าวเหนียวมะม่วงแล้ว ก็เลยแถไปหาแม่วารี ปากซอยทองหล่อ ที่ไม่ได้แวะเวียนเยี่ยมเยือนกันมานานก็เลยรู้ว่า | |||||
จากร้านเล็ก..เล็ก ก็กลายเป็นร้านแบบมาตรฐานทันสมัย ข้าวของจัดเป็นระเบียบ ส่วนความอร่อยของข้าวเหนียวมะม่วงยังเฉียบขาดเหมือนเดิม ก็เลยอยากเขียนเล่าให้เจ้านายรู้ไว้ เผื่อผ่านไปแวะอุดหนุนแม่วารีเธอได้ มาตรฐาน “ข้าวเหนียวมะม่วง” มีอย่างนี้เจ้าค่ะ ข้าวเหนียวมีทั้งข้าวเหนียวขาว ข้าวเหนียวเขียว (คือใช้ใบเตยแท้ ไม่ใช้สีผสมอาหาร) ข้าวเหนียวดำกินกับหน้ากะฉีก หน้าปลาแห้ง หน้ากุ้ง หรือหน้าสังขยา ขายเท่ากันกิโลกรัมละ 120 บาท มะม่วงก็มีให้เลือก 2 พันธุ์ คือน้ำดอกไม้ใช้เบอร์ 4 ลูกใหญ่กิโลละ 80-120 บาท ส่วนมะม่วงอกร่องก็ราคาพอกัน สังขยา หน้าปลาแห้ง หน้ากะฉีก ขายกระปุกละ 30 บาท | |||||
แต่ต้องรีบเขียนบอกเจ้านายก็เพราะช่วงปลายเดือนมีนา ต้นเดือนเมษาเป็นช่วงเวลากินข้าวเหนียวมะม่วงอร่อยที่ซู้ด!! แล้วร้านแม่วารีนี่เป็นร้านข้าวเหนียวมะม่วงร้านเดียวในเมืองไทยคือบริการขาย 24 ชั่วโมง รวมทั้งมีบริการ “วันทูโก” ซึ่งหมายความว่า ...ลูกค้านั่งอยู่บนรถเก๋ง แค่โผล่หน้าชะโงกออกมาเท่านั้น ข้าวเหนียวมะม่วงทำสำเร็จรูปใส่กล่องสำเร็จรูปเรียบร้อย ส่งให้ได้หน้ารถเลอะล่ะเจ้าค่ะ...เจ้านาย ****************************************************** ****************************************************** ข้าวเหนียวมะม่วง "แม่วารี" เลขที่ 1 ปากซอยทองหล่อ สุขุมวิท 55 โทรศัพท์ 0-2714-4223 โทรสาร 0-2392-4804 |
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 16 มีนาคม 2552 16:33 น. |
โดย : แม่ช้อยนางรำ | ||||
"เตี่ย" มาจากเมืองจีนเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ตอนนี้ถึงรุ่นตี๋ คนชอบกินกุ้งอย่าได้พลาด" เป็นลูกพี่...ลูกน้องกันมาเป็นสิบ..สิบปี ยังไม่เคยพาเจ้านายไปกินกุ้งแม่น้ำ ที่จังหวัดสุพรรณบุรีเลย เหตุที่ไม่พาไป ทั้งที่ร้านนี้อีชั้นกินฝีมือเขาสี่..ห้าสิบปีเห็นจะได้ก็เพราะร้านนี้เรื่องมาก สั่งของกินทีก็ยุ่งยาก เหมือนไม่อยากจะขาย แถมจะไปยืนเมี่ยง..เมี่ยง มอง..มองในครัวก็ไม่ได้ ถูกไล่กลัวว่าจะแอบรู้สูตรหรือไง? ยุ่งยากนักก็เลยไม่ไปกินแล้วก็เลยไม่เขียนแนะนำให้ แต่ตอนนี้เขาปรับปรุงใหม่ คุณป้าขี้โมโห ขี้หงุดหงิดง่าย..ง่าย อายุมากตอนนี้อยู่เฝ้าบ้าน ปล่อยให้น้องชายที่มี "เซอร์วิส มายด์" หรือมีหัวใจเป็นผู้บริการมาบริการแทน | ||||
ร้านนี้ที่ว่าชื่อ "กุ่ยหม่ง" อยู่ที่อำเภอบางปลาม้า สุพรรณบุรี ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ร้านหนึ่งของจังหวัดนี้ แล้วก็อร่อยที่สุดของตัวอำเภอนี้!! อาหารที่ขึ้นชื่อประจำร้านก็คือ "กุ้งอบเกลือ"..."กุ้งกระเทียมพริกไทย"…"ข้าวผัดกุ้ง" หรือเมนูที่ใช้กุ้งปรุงทั้งหลาย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ เขาคัดเลือกใช้กุ้งในแม่น้ำสุพรรณ เป็นกุ้งธรรมชาติ เป็นกุ้งตกทั้งใหม่ทั้งสด เรียกว่าไม่ต้องแช่น้ำแข็ง นักเลงกินกุ้งรู้จักร้านนี้กันแทบทั้งนั้น แล้วไม่สนด้วยว่าราคาจะเท่าไหร่ เรียกว่ากินแล้ว...ถึงใจ นอกจากเมนูกุ้งที่ว่า เมนูปลาม้า ที่ได้มาจากแม่น้ำสุพรรณก็ขึ้นชื่อเช่นเดียวกัน อย่างที่อีชั้นชอบก็คือ ... "ปลาม้านึ่งมะนาวกระเทียมโทน"… โดนเจ้าค่ะ เจ้านาย สมัยที่อีชั้นไปกินเมื่อสี่..สาห้าสิบปีก่อน ตอนนั้นเขาเป็นร้านห้องแถวริมแม่น้ำสุพรรณ พอรุ่นอีชั้นเขียนคอลัมน์ "เปิบพิสดาร" ปี 2519 ร้านเขาย้ายมาอยู่ริมถนน แต่ไม่ใช่ร้านปัจจุบันซึ่งตอนนี้เป็นตึกสองคูหาใหญ่ ที่นั่งมากมาย บรรยากาศสบาย | ||||
ครั้งล่าสุดที่อีชั้นไปกินก็เมื่อปี 49 ไปเจอเพื่อนเก่า คุณ "ขรรค์ชัย บุนปาน" นั่งเหงา..เหงาอยู่คนเดียว ก็เลยไปช่วยถล่มให้ขุนช้างจ่าย แล้วไปอีกทีเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมาไว..ไว ที่ต้องไปก็เพราะว่า อีชั้นจะต้องพาลูกค้าของ "การทางด่วน" ไปเที่ยวตลาดเก้าห้อง อยู่ท้องที่เดียวกัน เที่ยวกันตอนเช้า ไปกินกุ้งอบเกลือ ปลาม้านึ่งมะนาวกระเทียมโทน เชิงปลากรายทอดกรอบ ข้าวผัดกุ้ง แล้วอะไรต่อมิอะไรอื่น..อื่นอีกมากมาย ตามใจตามปากร้านนี้ตอนบ่าย แต่ถ้ายุ่งยากลำบากนัก แวะไปกินกุ้งแม่น้ำที่ "บ้านแม่ช้อยนางรำ" ตรงข้ามเจดีย์ศรีสุริโยทัย ตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาก็ได้นะเจ้าค่ะ "กุ่ยหมง" ดัง "กุ้งแม่น้ำอบเกลือ" แต่ “บ้านแม่ช้อยนางรำ" ดัง "กุ้งแม่น้ำเผา" เราอร่อยกันคนละอย่าง นักเลงจริงเขาไม่ข้ามเขตกันหรอกเจ้าค่ะ หรือถ้าให้สมศักดิ์ศรีเจ้านาย กินกุ้งแม่น้ำสุพรรณ แล้วมาลองกินกุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาเปรียบกันซะเลยจะเป็นไร ..แต่แอะ..แอะ อย่าบอก "กุ้งกิ๊ก" ที่เจ้านายมักจะพาไปด้วยอร่อยกว่านะเจ้าค่ะ กุ้งแบบนั้นมีเอาไว้กินทางปากซะเมื่อไหร่ล่ะ จริงมั๊ยเจ้าค่ะ เจ้านาย?? |
อาหารจีนต้นตำรับ หมูพะโล้ตระกูลสือ
การกิน สำหรับชาวจีนแล้วเป็นศาสตร์ชนิดหนึ่ง เพราะความเป็นศาสตร์จึงทำให้เกิดความแตกต่างในแต่ละท้องถิ่น เพราะความเป็นศาสตร์จึงทำให้เกิดประเภทของอาหารนับไม่ถ้วน เพราะความเป็นศาสตร์จึงทำให้เกิดวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อกันมา เพราะความเป็นศาสตร์จึงทำให้เกิดอาหารอร่อยที่เผยแพร่ไปทั่วโลก อาหารอร่อยอยู่แวดล้อมตัวเรา เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา
อำเภอมู่ตู้ เมืองซูโจว ร้านอาหารตระกูลสือ ร้านนี้มีประวัติไม่ธรรมดา จากภาพวาดความรุ่งเรืองของซูโจว สมัยจักรพรรดิเฉียนหลงปีที่ 24 แสดงให้เห็นความรุ่งเรืองดุจเมืองสวรรค์ของซูโจวในยุคนั้น 36 ปีต่อมา ปีเฉียนหลงที่ 55 ในภาพวาดเก่าแก่ก็ปรากฏร้านของสือฮั่น ตั้งอยู่ใกล้สะพานจอหงวน ตั้งชื่อว่าร้านสือซี่ซุ่น สือซี่ซุ่นเดิมเป็นร้านขายขนมของสามีภรรยาคู่หนึ่ง ดำเนินกิจการมาถึงสี่ชั่วอายุคน ถึงมือของสือเหลินที่เป็นเหลนของสือฮั่น สือซี่ซุ่นก็กลายมาเป็นร้านอาหารไท่หู่ที่เลื่องชื่อ อาหารในร้าน ถูกขนานนามจากผู้คนที่ชื่นชอบว่า อาหารตระกูลสือ ปี 1929 หลีเกิ่นหยวน ขุนนางปลดเกษียนได้กลับบ้าน และได้ช่วยตั้งชื่อให้ว่า ร้านอาหารตระกูลสือ
ปัจจุบัน ภัตตาคารตระกูลสือเปิดสาขามากมายในซูโจว แต่ร้านดั้งเดิมก็ยังคงดำเนินกิจการอยู่ เพราะว่าเตาถ่านหินของที่นี่ ใช้ทำอาหารพิเศษชนิดหนึ่ง อาหารที่มีชื่อควบคู่มากับร้านเก่าแก่หลายร้อยปีนี้ชื่อว่า หมูพะโล้ตระกูลสือ วัตถุดิบหลักก็คือหมูสามชั้น ซึ่งมีแหล่งมาจากริมทะเลสาบไท่หู่ข้างร้านนั่นเอง หมูสามชั้นหลังจากชำแหละมาแล้ว 1 วัน นำมาตัดเป็นสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ใส่ลงไปในหม้อทรงกลมที่เต็มไปด้วยน้ำดื่ม ต้มด้วยไฟแรง ขั้นตอนนี้ใช้เวลาเพียงเล็กน้อย หลังจากน้ำเดือดพล่านก็ตักเนื้อหมูขึ้นมา ใส่น้ำซอสเฉพาะของตระกูลสือลงในหม้อทรงกลมอีกใบ ใส่เนื้อหมูลงไป ขอบหม้อวางผ้าที่ทำขึ้นเฉพาะ จากนั้นจึงใส่เกลือ ใบกระวาน โป๊ยกั๊ก อบเชย เปลือกส้มและน้ำตาลทราย จากนั้นจึงนำซึ้งมาวางลงบนผ้า เพื่อกดเนื้อหมูให้จมอยู่ในน้ำ จากนั้นจึงใส่เหล้า ซีอิ๊ว ต้มด้วยไฟอ่อน ใช้เวลาต้มประมาณ 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงนำเนื้อหมูขึ้นมาใส่ลงชาม แล้วนำไปนึ่งต่อใช้เวลานึ่งสิบห้านาที เป็นการป้องกันไม่ให้เนื้อหมูที่เพิ่งขึ้นจากเตา สัมผัสอากาศจนเปลี่ยนสี ทั้งยังทำให้เนื้อหมูคงรูปร่างสวยงาม สุดท้ายราดด้วยน้ำซอสเฉพาะของตระกูลสือ หมูพะโล้ตระกูลสือก็พร้อมรับประทาน เนื่องจากการต้มเป็นเวลานาน ไขมันในเนื้อหมูสามชั้นจึงละลาย ทำให้หนังนุ่มเนียนไม่เลี่ยนมัน กลิ่นหอมขึ้นจมูก ทั้งหมดนี้ได้มาเพราะไฟ
ในอาหารจานนี้ ไฟเหวินอู่ล้วนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน อาหารต้องใช้แรงไฟในการเข้าถึงซึ่งรสชาติ ถึงจะทำให้อาหารชนิดนั้นเลิศรส ไฟแรงทำให้เนื้อหมูสุกอย่างรวดเร็ว เพื่อไล่เลือดและสิ่งสกปรกในเนื้อ ทั้งยังไม่ทำให้เนื้อเหนียวขึ้น ในขณะเดียวกันก็ทำให้เนื้ออยู่ตัว การใช้ซึ้งกดให้เนื้อจมลงในน้ำ ซึ่งเป็นการเพิ่มพื้นที่ว่าง ทั้งยังทำให้ไอของรสชาติต่างๆที่ผสมผสานกัน หมุนเวียนกลับไปมา และไฟอ่อนจะทำให้เนื้อนุ่ม ไม่ทำให้เสียรูปทรง ทั้งยังทำให้เนื้อหมูหอมนุ่มละมุนอีกด้วย การใช้ไฟเป็นเคล็ดลับที่มีมายาวนานของอาหารจีน เพราะเหตุนี้นักปราชญ์จีนจึงให้ความสนใจกันมาก ขงจื้อกล่าวว่าของไม่อร่อยไม่กิน สำหรับท่านแล้วอาหารที่ใช้ไฟไม่ถูกไม่ควรรับประทาน
ขนมและอาหารว่างในอาเซียน
ประเทศไทย
เริ่มต้นกันที่ขนมประจำชาติไทยของเรานั่นก็คือ บัวลอย บัวลอยเป็นขนมหวานที่มีทั้งรสชาติ หวานมันเค็ม เรียงลำดับตามแบบนั้นได้เลย แป้งที่นำมาทำบัวลอย ก็เป็นแป้งข้าวเหนียว ซึ่งหาได้ในบ้านเรานี่แหละ ส่วนกะทิที่ใช้ก็ได้มาจากมะพร้าว น้ำตาลก็ได้มาจากอ้อย นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมอื่นๆ อย่างเผือก ฟักทอง ไข่ไก่ ซึ่งได้มาจากวิถีชีวิตของเกษตรกรไทยเรานี่เอง เป็นขนมที่บ่งบอกวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างชัดเจน บัวลอยสำหรับคนไทยยังถือเป็นตำนานขนมหวานแห่งความรักอีกด้วย
ประเทศเวียดนาม
ของว่างประจำชาติของเวียดนามคือ ขนมเบื้องญวน ขนมเบื้องญวนแท้ๆในเวียดนามเป็นอาหารทานเล่น แต่มีลักษณะอ้างอิงได้ถึงแพนเค้กของฝรั่ง ซึ่งทำจากแป้งข้าวเจ้าของคนท้องถิ่น ผสมกับกะทิและผงขมิ้น ยัดไส้ด้วยหมูหรือกุ้ง ตามรูปถั่วงอกและผักต่างๆ รวมไปถึงถั่วลิสงคั่วบด บางที่ก็ใส่หัวไชโป๊หวานเค็มด้วย โดยจะรับประทานคู่กับน้ำจิ้ม 3 รส มีส่วนผสมคือ น้ำตาล มะนาว และน้ำปลา แต่เนื่องจากอาหารว่างเมนูนี้มีลักษณะเป็นชิ้นที่ค่อนข้างใหญ่พอสมควร บางคนรับประทานไปชิ้นเดียวก็อิ่ม
ประเทศสิงคโปร์
ขนมประจำชาติของประเทศสิงคโปร์คือ ลอดช่องสิงคโปร์ สำหรับลอดช่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นของหวานประเภทเดียวกับที่สิงคโปร์ เราจะเรียกว่า cendol ซึ่งเป็นขนมพื้นเมืองที่มีอยู่มากมาย ทั้งในสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม พม่า รวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย สำหรับประเทศไทยที่เราเรียกว่าลอดช่องสิงคโปร์ เนื่องจากเจ้าของหวานประเภทนี้มีชื่อเสียงโด่งดังครั้งแรกจากร้านที่ขายดี ที่ตั้งอยู่หน้าโรงหนังสิงคโปร์ โดยมีชื่อร้านว่า ร้านสิงคโปร์โภชนา คนจึงเรียกติดปากตามกันมาตลอดว่าลอดช่องสิงคโปร์ ปัจจุบันถ้าใครเดินทางไปสิงคโปร์ก็ยังคงต้องหาเมนูนี้มารับประทาน เพราะเขาขึ้นชื่อจริงๆ แต่ที่ประเทศอื่นๆเขาไม่ได้เรียกลอดช่องสิงคโปร์กันนะ เขาเรียกว่า cendol ถ้าจะไปหามารับประทานอย่าลืมเรียกชื่อให้ถูกด้วย
ประเทศฟิลิปปินส์
ขนมประจำชาติของฟิลิปปินส์คือ ฮาลูฮาโล (Halu Halo) ขนมหวานประเภทนี้ถือเป็นขนมหวานพื้นเมืองแท้ๆของประเทศฟิลิปปินส์ ส่วนผสมหลักทำจากมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ฟิลิปปินส์มีมากมาย โดยจะใส่สีผสมอาหารสีต่างๆ ตามลักษณะวัฒนธรรมของคนฟิลิปปินส์ที่เน้นสีสันสดใสและรสชาติที่หวานหอม เวลารับประทานจะรับประทานคู่กับข้าวพอง ไอศครีม ขนมปัง และใส่เครื่องอื่นๆเป็นขนมที่มีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งจะพบได้เฉพาะในประเทศฟิลิปปินส์เท่านั้น
ประเทศเมียนมาร์ หรือพม่า
ขนมประจำชาติของพม่าคือ ข้าวต้มมัด หรือจะเรียกว่าข้าวต้มผัดก็ได้ ทำจากข้าวเหนียวที่ผัดรวมกับกะทิ หลังจากนั้นนำไปห่อด้วยใบตอง ใส่ไส้กล้วยลงไปไว้ตรงกลาง และนำไปนึ่งต่อจนสุก รสชาติหวานมันถือเป็นขนมหวานที่แสดงวัฒนธรรมของคนพม่าได้ดีเลยทีเดียว เนื่องจากประเทศนี้มีทั้งข้าวเหนียว กล้วย และมะพร้าวที่มีคุณภาพ แต่ประเทศไทยก็นำขนมหวานเมนูนี้มาผลิตจนเป็นที่คุ้นเคย โดยมีการดัดแปลงและเพิ่มเติมความหลากหลาย โดยอาจจะใส่ถั่วหรือใส่เผือก หากใครมีโอกาสเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศพม่า ลองหาข้าวต้มมัดมารับประทานสักชิ้น เพื่อจะได้รู้รสชาติและความแตกต่างของข้าวต้มมัดพม่ากับข้าวต้มมัดแบบไทยกัน
ประเทศมาเลเซีย
ขนมหรืออาหารว่างประจำชาติของประเทศมาเลเซียคือ โรตี เป็นประเทศที่มีอิทธิพลมาจากศาสนาอิสลามและชาวอินเดียผสมผสานกันโรตีจึงกลายเป็นของหวานประจำประเทศนี้ ทุกท่านคงทราบดีว่าโรตีคือการนำแป้งไปทอดให้เป็นแผ่น สำหรับสูตรของคนมาเลเซีย โรตีจะเป็นแผ่นค่อนข้างหนา ผิวนอกจะกรอบ ด้านในจะนุ่ม มีทั้งรับประทานโดยไม่มีหน้าใดๆเคียงคู่ กับชารสหวาน หรืออาจจะราดหน้าด้วยนมข้นและน้ำตาล โรตีของประเทศมาเลเซีย จะหนานุ่มเป็นชิ้นเป็นอันกว่าโรตีในประเทศไทย สามารถตัดแบ่งเป็นชิ้นหนาหนาคำโตโต แบ่งกันรับประทานได้หลายคนใน 1 แผ่น อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าคนมาเลเซียส่วนมากจะรับประทานโปรตีนคู่กับชานม ถือเป็นอาหารว่างระหว่างมื้อที่นิยมกันมากมาย
ประเทศลาว
ขนมหวานประจำชาติของลาวคือ น้ำตาลอ้อย แต่ไม่ใช่น้ำตาลอย่างที่เราคิดซะทีเดียว เพราะน้ำตาลอ้อยนี้ เวลาทำจะต้องทำเหมือนกันทำขนม คือการนำน้ำอ้อยมาเที่ยว ไม่ใช่เอาน้ำตาลมะพร้าวมาเคี่ยว เคี่ยวจนกลายเป็นคาราเมลสีน้ำตาลแดง ซึ่งจะส่งกลิ่นหอมมาก หลังจากนั้นสามารถนำไปรับประทานกับเครื่องดื่มร้อนต่างๆหลากชนิด โดยจะให้รสชาติที่หวานจัดและมีความหอมละมุนของกลิ่นอ้อย น้ำตาลอ้อยลักษณะนี้ยังสามารถนำไปเป็นส่วนประกอบในการทำขนมหวานได้อีกหลายประเภทอีกด้วย สามารถหาทานได้ทั่วไปตามร้านต่างๆในประเทศลาว หากใครเดินทางท่องเที่ยวไปยังประเทศนี้อย่าลืมลองหามารับประทานกันดู
ประเทศอินโดนีเซีย
ขนมหวานประจำชาติอินโดนีเซียคือ วุ้นน้ำมะพร้าว วุ้นน้ำมะพร้าวถือเป็นของหวานที่ขึ้นชื่อของที่นั่น หลายท่านอาจสงสัยและมีเสียงคัดค้านว่าใช่หรือ แต่ตามที่ระบุเป็นอย่างนั้นจริงๆ โดยน้ำมะพร้าวในอินโดนีเซียที่นำมาผสมกับวุ้นส่วนมากจะเป็นมะพร้าวพันธุ์แก่ปกติ ซึ่งเป็นผลพลอยได้ที่เหลือจากอุตสาหกรรมการผลิตอาหารในโรงงาน ที่ได้จากการคั้นน้ำกะทิหรือการใช้เนื้อมะพร้าวแก่ไปแล้ว เราจึงนำน้ำมะพร้าวเหล่านั้นที่ได้มาผสมเป็นวุ้น แล้วใส่น้ำกะทิจากมะพร้าวบางส่วนลงไป ทำให้น่ารับประทาน ซึ่งอาจจะแตกต่างจากวุ้นน้ำมะพร้าวในประเทศไทยไปบ้าง เพราะของไทยจะนิยมใช้มะพร้าวน้ำหอม
ประเทศกัมพูชา
ขนมหวานประจำชาติกัมพูชาคือ กระยาสารท เนื่องจากขนมหวานชนิดนี้มีมานานหลายร้อยปี และมีการทำกันตลอดปีเพื่อรับประทานเป็นขนมหวานปกติ แต่จะมีช่วงที่ใช้ในการประกอบพิธีในการไหว้ นั่นก็คือ ช่วงแรม 15 ค่ำเดือน 10 ซึ่งคนกัมพูชานิยมไหว้ด้วยกระยาสารท กระยาสารทเป็นขนมหวานที่ทำจากธัญพืชที่มีในท้องถิ่นกัมพูชานานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น ถั่ว งา ข้าวคั่ว น้ำตาล นำมาผัดคั่วรวมกันจนจับตัวเป็นก้อน ทิ้งไว้ให้เย็นลง จึงนำมารับประทานและยังสามารถเก็บไว้รับประทานได้นานเป็นเดือนเลยทีเดียว
ประเทศบรูไน
ขนมประจำชาติบรูไนคือ กล้วยแขก ปกติแล้วคนไทยจะคุ้นเคยกับขนมชนิดนี้เป็นอย่างดีและรับประทานจนเป็นที่ชื่นชอบ จนคิดกันไปว่าเป็นขนมของบ้านเราไปซะแล้ว ซึ่งมีการระบุเอาไว้ว่า กล้วยแขกเป็นขนมของคนบรูไน วิธีการทำคือนำกล้วยมาผ่าครึ่ง หรือบางครั้งจะหันครึ่งเป็น 2 ท่อน แล้วนำไปผสมกับแป้งข้าวเจ้า มะพร้าว งา น้ำตาล หลังจากนั้นนำไปทอดในน้ำมันที่มีอุณหภูมิร้อนกำลังพอเหมาะ ซึ่งคนบรูไนสามารถรับประทานกล้วยแขกได้ตลอดเวลา แต่รสชาติกล้วยแขกของบรูไนอาจไม่หวานเท่าของไทยเรา
อาหารจีนต้นตำรับ หอยเป๋าฮื้อ
การกิน สำหรับชาวจีนแล้วเป็นศาสตร์ชนิดหนึ่ง เพราะความเป็นศาสตร์จึงทำให้เกิดความแตกต่างในแต่ละท้องถิ่น เพราะความเป็นศาสตร์จึงทำให้เกิดประเภทของอาหารนับไม่ถ้วน เพราะความเป็นศาสตร์จึงทำให้เกิดวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อกันมา เพราะความเป็นศาสตร์จึงทำให้เกิดอาหารอร่อยที่เผยแพร่ไปทั่วโลก อาหารอร่อยอยู่แวดล้อมตัวเรา เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา
เป่าฮื้อเป็นอาหารทะเลที่มีราคาแพงที่ชาวจีนชื่นชอบ จากบันทึกในสมัยชุนชิว ชาวจีนนำหอยเป่าฮื้อที่ผ่านการหมักมาทำเป็นอาหาร เป๋าฮื้อสดถูกนำมาแกะเปลือก หมักตากแห้ง เพื่อเป็นเป๋าฮื้อแห้งทำให้มีราคาสูงขึ้น กลายมาเป็นเป๋าฮื้อที่เราเห็นในปัจจุบัน แต่ว่าเป่าฮื้อแห้งมีเนื้อแข็งยากที่จะนำมาปรุง ก่อนนำมาทำอาหารต้องแช่น้ำให้อ่อนตัวลงจากนั้น จึงนำมาล้างให้สะอาด การล้างต้องใช้ความอดทนและละเอียดละออ ใช้แปรงขัดริมให้สะอาด ล้างส่วนปาก เลาะไส้และสิ่งสกปรกออก ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาถึง 2 วัน แต่สำหรับขั้นตอนการปรุงเป๋าฮื้อแล้วนี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น เชฟมากประสบการณ์บอกพวกเราว่า การปรุงเป๋าฮื้อให้เลิศรสนั้นเงื่อนไขสำคัญคือไฟ
ในโลกของอาหารจีนแล้วอาหารทุกจานมักให้ความสำคัญกับไฟ แท้จริงแล้วไฟทำไมถึงมีความสําคัญ ถึงส่งผลต่อรสชาติมากขนาดนี้ ทำอย่างไรถึงทำให้อาหารเลิศรสมากขึ้น ฝ่ายเป็นคำเฉพาะในแวดวงการทำอาหาร หมายถึงอุณหภูมิความร้อนและระยะเวลาที่ใช้ โดยทั่วไปแบ่งเป็นไฟคุโชน ไฟแรง ไฟกลาง ไฟอ่อน และไฟรุม ปัจจุบันเรามีอุปกรณ์ให้ความร้อนหลากหลายชนิด เตาถ่านหิน เตาหกตา เตาแก๊สถ่านหิน เตาแก๊ส สามารถปรับความร้อนได้ตามที่ต้องการ แต่ว่าไฟก็ยังยากที่จะควบคุมอยู่ดี เพราะไม่เป็นแต่เพียงเรื่องของอุณหภูมิความร้อน ยังมีวัตถุดิบ อุปกรณ์ปรุงอาหาร เทคนิคการปรุงอาหาร ไฟจึงเป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้งและซับซ้อน
เฉินหย่าเจียนหัวหน้าเชฟเครือบริษัทฉาวเจียงชุน เขามีชีวิตการทำงานในตครัวกว่า 30 ปี ทำให้เขามีประสบการณ์ในการปรุงเป๋าฮื้ออย่างมาก เป๋าฮื้ออบหม้อดินทำยากมากก่อนอื่นต้องเลือกเป๋าฮื้ออย่างดีรวมทั้งวัตถุดิบอย่างอื่นและไฟ สามสิ่งนี้ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้เลย
วันนี้เฉินหย่าเจียนจะทำเป๋าฮื้อตุ๋นที่ยากต่อการควบคุมไฟ วัตถุดิบหลักก็คือ เป๋าฮื้อแห้งและต้องเป็นเป๋าฮื้อชั้นดีจากญี่ปุ่น ซึ่งถูกขนานนามว่าเจ้าแห่งเป๋าฮื้อ เพื่อให้คู่ควรกับเป๋าฮื้อชั้นเลิศ เครื่องปรุงอื่นก็ต้องผ่านการคัดสรรอย่างดี นั่นก็คือไก่ กระดูกหมู หมูสามชั้นที่เราใช้ปรุงอาหาร แต่ตอนนี้มันเป็นเพียงเครื่องปรุงเสริมเท่านั้น
นำเนื้อไก่กับกระดูกหมูลงต้มในน้ำเดือด ล้างสิ่งสกปรกต่างๆออก จากนั้นนำมาผัดให้สุก ทอดหมูสามชั้นในน้ำมันให้เหลือง และเตรียมหม้อกระเบื้องเคลือบที่ใช้สำหรับปรุงเป๋าฮื้อโดยเฉพาะ หม้อกระเบื้องเมื่อนำมาอบอาหารจะทำให้อาหารเปลือยนุ่มได้เร็ว ถ้าเป็นหม้อสแตนเลสจะแข็งทำออกมาได้ไม่ดีเท่ากับหม้อกระเบื้อง นำเป่าฮื้อ ไก่ กระดูกหมู หมูสามชั้นใส่ลงในหม้อกระเบื้อง ที่มีน้ำเต็ม จากนั้นจึงนำหม้อกระเบื้องไปวางไว้บนเตาที่ทำพิเศษ เตาพิเศษนี้ก็คือเตาถ่าน เตาถ่านจะให้ไฟ Room ไฟจากเตาถ่านจะไม่ร้อนจนเกินไป หม้อกระเบื้องจะถูกไฟรุมๆจากถ่าน ค่อยๆผ่านความร้อนขึ้นมาเพราะเนื้อดินกระเบื้องที่ละเอียด ความร้อนในหม้อกระเบื้องจะคุุณอยู่ในอาหาร เป๋าฮื้อต้องค่อยๆตุ๋นทำให้เป่าฮื้อไม่อมน้ำเร็วเกินไป น้ำจะค่อยๆเข้าไปในตัวเป๋าฮื้อนี่คือความสำคัญของไฟ ขั้นตอนนี้ใช้เวลาตุ๋นถึง 2 วันเต็มๆ ในช่วงของการตุ๋นไม่ต้องคน ไม่ต้องใส่เครื่องปรุงใดๆ แถมยังไม่ต้องคอยเปิดดู สรุปแล้วความร้อนมีความสำคัญต่อกระบวนการอย่างไรกัน
เชฟเฉินเล่าว่า
"ทั้งหมดนี้เป็นการสั่งสมประสบการณ์ ใน 20 ถึง 30 ปีมานี้ ผมโชคดีที่มีโอกาสทำเป๋าฮื้อบ่อยมาก ถ้าคุณเป็นพ่อครัวอาหารจีนที่ทำงานมานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยได้แตะเป๋าฮื้อเลย ทํามานานแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์"
เฉินหย่าเจียน เกิดที่มณฑลกวางตุ้ง เขาใช้ชีวิตในฮ่องกง เขาเข้าสู่วงการอาหารตอนอายุ 14 ปัจจุบันกลายเป็นเชฟอาหารกวางตุ้งที่ลือชื่อ แค่ใช้มือจับวัตถุดิบ เขาก็สามารถบอกได้ถึงแหล่งผลิต และคุณภาพของเป๋าฮื้อที่นำมาใช้ เฉินหย่าเจียนบอกพวกเราว่า เคล็ดลับในการตุ๋นเป๋าฮื้อก็คือ กลางวันใช้เวลาตุ๋นทั้งวัน ตกกลางคืนจะต้องดับไฟในเตา วันรุ่งขึ้นจึงจะตุ๋นต่อไป นี่คือประสบการณ์ของเขา ตอนที่ไม่ได้ตั้งไฟ น้ำในหม้อจะเย็นลง เป๋าฮื้อก็จะดูดซึมน้ำเข้าไปในเนื้อ พอนำมาตุ๋นอีกที น้ำที่อยู่ในเป๋าฮื้อก็จะออกมา นี่ก็คือเคล็ดลับของการใช้ไฟ แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งไฟ ประโยชน์ของไฟก็ยังคงอยู่ เห็นได้ชัดเจนว่า ไฟไม่ใช่แค่เพียงการคุม ความแรงและเวลา ยังรวมไปถึงความเชี่ยวชาญในการประเมินคุณภาพ ของวัตถุดิบอีกด้วย วัตถุดิบที่แตกต่างย่อมใช้ไฟไม่เหมือนกัน ช่วงที่เป่าฮื้อกำลังจะสุกได้ที่ เป็นช่วงสำคัญ การราไฟเร็วไปรสชาติจะไม่เข้าเนื้อ ราไฟช้าไปเป่าฮื้อก็จะเหนียว ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ของพ่อครัวทั้งสิ้น
หลังจากผ่านการตุ๋นมา 2 วัน อาหารจานนี้ก็สำเร็จลง เป๋าฮื้ออุ้มน้ำชุ่มฉ่ำ แถมยังมีรสชาติของเนื้อหมูและเนื้อไก่ อาหารจานนี้ต้องค่อยๆเคี้ยวและลิ้มรสอย่างช้าๆ ถึงจะสัมผัสได้ถึง เคล็ดลับการใช้ไฟรุม ค่อยๆตุ๋นของอาหารจีน ในวัฒนธรรมอาหารของจีน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น