ประวัติและชีวิตส่วนตัวของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein)

ประวัติและชีวิตส่วนตัวของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein)

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักคิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 และนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังคนแรก ชื่อไอน์สไตน์กลายเป็นคำเดียวกับอัจฉริยะ การคิดค้นของเขานำไปสู่ระเบิดปรมาณู ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสมการ E=mc2 กลายเป็นสิ่งที่ทำลายโลกได้ ไอน์สไตน์นั้นปวดร้าวเสมอที่ต้องเลือกระหว่างงานและผู้หญิงในชีวิต มีความขี้เล่นอยู่มากที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไอน์สไตน์เปลี่ยนจากคำวิจารณ์ว่า เธอสวยแค่ไหน เธออวบอัดแค่ไหน ว่าเขาจำร่างอันอบอุ่นของเธอได้ แล้วเขาก็เปลี่ยนไปพูดว่า ฉันเพิ่งอ่านหนังสือเรื่องคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามา ไอน์สไตน์เห็นว่าการแต่งงานนั้นอันตราย และงานของเขานั่นเองที่ชนะเสมอ

ภาพลักษณ์นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องในหนังมาจากผู้ชายคนเดียว อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ 50 ปีหลังเขาเสียชีวิต ใบหน้าของเขาอยู่ตามถ้วยกาแฟ ปฏิฑิน และเสื้อยืด เขาเป็นดาราผู้โด่งดังคนแรกของวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ แต่เบื้องหลังภาพความสำเร็จที่น่าชื่นชมนี้ ไอน์สไตน์ยากที่จะเข้าใจพอๆกับสมการของเขา E=mc2  ความเป็นอัจฉริยะที่ไร้คู่แข่งเป็นเพียงเบื้องหน้าของเขาที่ทรยศแม้คนใกล้ชิด เขาชอบผู้หญิงและเขาเกลียดความชอบนี้มาก เขาพยายามต่อสู้กับมัน เพราะมันดึงเขาออกจากสิ่งที่เขาคิดว่ามันเป็นภารกิจนั่นคือการดึงความลับของจักรวาล  อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นั้นมีใจมุ่งกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ช่วงแรกๆของชีวิต ความหลงใหล ความกระตือรือร้น เขามุ่งหมายและให้ความสำคัญกับงานของเขาอย่างมาก การอุทิศตัวของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ทำให้ได้รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ แต่เขาต้องเสียบางอย่างเพื่อแลกกับความสำเร็จ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ส่วนตัว

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นั้นมองว่าผู้หญิงคือพวกที่ต้องนำมาใช้ในแง่ที่ว่าผู้หญิงนั้นอาจจะเป็นแรงบันดาลใจได้ แต่เขาก็ต้องทำร้ายพวกเธอด้วย รักแรกของไอน์สไตน์คือเพื่อนนักศึกษาวิชาฟิสิกส์  มิเลว่า มาริช ซึ่งแก่กว่า 4 ปี ไอน์สไตน์ชอบความใฝ่ฝันและความเป็นตัวเองของเธอ ตอนเขาพบมิเลว่า มีความหลงใหลที่ทำให้ตัวเขาเองก็กลัวในสิ่งที่เขาคุมไม่ได้ เมื่อมิเลว่าที่ยังไม่ได้แต่งงานตั้งครรภ์ ทำให้งานวิทยาศาสตร์ของไอน์สไตน์อยู่ในอันตราย ไอน์สไตน์พยายามที่จะหางานทางภาคเหนือของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นที่ๆคนหัวโบราณมากๆ และถ้าเขาไปที่นั่นพร้อมกับลูกนอกสมรส เขาต้องลำบากอย่างแน่นอน ไอน์สไตน์ไม่ยอมทำลายการงานของเขาเพื่อเด็กคนหนึ่ง ทั้งคู่ยกลูกคนแรกที่เป็นผู้หญิงให้คนอื่น ไอน์สไตน์ไม่เคยเห็นลูกสาวอีกเลย ต่อมาเมื่อเขาแต่งงานกับมิเลว่า เขามีลูกอีกสองคน ฮานส์อัลเบิร์ตและเอ็ดเวิร์ด การหมกมุ่นในงานของไอน์สไตน์ทำให้ครอบครัวต้องเป็นที่สอง เขาเดินทางบ่อยและทำงานดึก แทบไม่อยู่บ้านเห็นหน้าลูกหรือภรรยา ด้วยความเป็นทุกข์ มิเลว่าเขียนถึงเพื่อนว่า ฉันโหยหาความรัก ฉันเชื่อว่าต้องโทษวิทยาศาสตร์ตัวร้ายเท่านั้น ขณะที่มิเลว่าเชื่อใจเขาน้อยลงและหึงมากขึ้น เขาเริ่มผละตัวไปจากเธอและเริ่มโกรธมากขึ้น แล้วก็หันไปหาหญิงอื่นเพื่อที่จะปลอบใจ

เอลซ่า ลูกพี่ลูกน้องของไอน์สไตน์เป็นหนึ่งในนั้น พวกเขาเป็นชู้รักกัน ไอน์สไตน์เขียนถึงเอลซ่าว่า ผมคงดีใจมาก หากได้เดินไม่กี่ก้าวข้างๆคุณ โดยไม่มีเมียขี้หึง ผมถือว่าเธอคือลูกจ้างที่ไล่ออกไม่ได้ ปี 1919 4 เดือนหลังหย่าขาดจากมิเลว่า ไอน์สไตน์แต่งกับลูกพี่ลูกน้องของเขา ในตัวเอลซ่า เขาพบคู่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ผู้หญิงที่พร้อมจะดูแลเขาและให้ตัวเองเป็นที่สองรองจากการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ เธอเป็นภรรยาแบบในยุคเก่าแบบที่มิเลว่าไม่สามารถจะเป็นได้ดังที่ไอน์สไตน์ได้เคยกล่าวไว้ว่า เขาต้องการคนรีดเสื้อให้กับเขา ตั้งแต่หย่าไอน์สไตน์ก็ไม่ได้พบลูกชายทั้งสองคน ต่อมาลูกชายคนโตเขียนหนังสือเรื่องโครงการเดียวที่เขาเลิกทำคือผมเอง ลูกคนที่สองเป็นโรคจิตเสื่อม เขาอยู่ในโรงพยาบาลประสาทหลายปี เขาไม่ใช่พ่อที่ประสบความสำเร็จ เขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับลูกๆ มากนัก เขาพบกับเด็กทั้งสองเป็นครั้งคราวหลังจากที่หย่า อาจจะพูดได้ว่าเขาได้เกรด A+++ ในวิชาฟิสิกส์ แต่ว่าในเรื่องของการเป็นพ่อนั้น เขาได้เกรดประมาณ C- ถึง D เท่านั้น

ปี 1919 ปีที่เขาแต่งงานกับเอลซ่า ทฤษฎีสัมพันธภาพได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง ด้วยวัย 40 ปี ไอน์สไตน์กลายเป็นคนดังทันที ซุปเปอร์สตาร์คนแรกที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ในหลายแง่มุมแล้วเขากลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุด เป็นหนึ่งใน 12 คนที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกในชั่วข้ามคืนเท่านั้น สามปีต่อมาไอน์สไตน์ได้รับเกียรติยศสูงสุดของนักวิทยาศาสตร์ นั่นคือรางวัลโนเบล แต่ขณะที่ทั่วโลกเชื่อว่าไอน์สไตน์เป็นอัจฉริยะ เขากลับคิดว่าตัวเองล้มเหลวในทางอารมณ์ แรงขีบเพื่อความสำเร็จทางการงานจะนำความเศร้ามาให้ในอีกหลายปีข้างหน้า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เกิดในยุคที่มีการคิดค้นวิทยาศาสตร์ขึ้นเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ช่วงแรกของชีวิต เขาถูกกระตุ้นด้วยความหลงใหลสิ่งที่เป็นไปรอบตัว ตอนยังเด็กสิ่งแรกที่พ่อให้กับเขาไว้ก็คือเข็มทิศแม่เหล็ก เขาประทับใจกับการเคลื่อนไหวของโลหะชิ้นน้อยที่แกว่งไปมา แล้วก็หาทางไปทางทิศเหนือ ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น มีบางอย่างฝังลึกที่นั่น มีบางอย่างในตัวเขาที่ต้องค้นหาความจริงของสิ่งต่างๆให้ได้

เข็มทิศเป็นจุดเริ่มต้นการแสวงหาความรู้ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ การแสวงหาที่จะครอบงำส่วนที่เหลือของชีวิต อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เกิดในปี 1879 ทางตอนเหนือของเยอรมันนี ลูกคนโตของพ่อแม่ชนชั้นกลาง ชาวยิวเคร่งศาสนา เฮอร์แมนและพอลลีน เฮอร์แมนเป็นวิศวกรและยังเป็นเจ้าของโรงงานผลิตไดนาโม การผลิตไฟฟ้าในเยอรมันนีเกิดขึ้นในอัตราที่เร็วมาก ครอบครัวของเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจที่เปรียบเหมือนกับการปฏิวัติเทคโนโลยีในยุคนั้น และเป็นยุคที่มีการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ มีกระบวนการขนาดใหญ่ที่ทำให้อุตสาหกรรมใหม่ๆนั้นเป็นไปได้ ความมั่งคั่งก็มีมากขึ้น เข้าสูศตวรรษใหม่ที่อะไรก็ดูจะเป็นไปได้ทั้งนั้น แม่ของเขาพอลลีนเป็นหญิงที่ชอบข่มผู้อื่น เธอสนับสนุนให้ลูกชายเล่นไวโอลินและปลูกฝังให้เขาตั้งใจที่จะประสบความสำเร็จ แม่ของไอน์สไตน์นั้นเป็นคนที่ครอบงำครอบครัวเขา เธอครอบครองอำนาจและพ่อของเขาด้วย และนี่คือสิ่งที่พบเห็นในนักวิทยาศาสตร์หลายคน ส่วนใหญ่จะมีปูมหลังที่พ่อช่างฝันเล็กน้อย และแม่จะเป็นผู้นำในการดูแลครอบครัว แม่ของไอน์สไตน์ปลูกฝังในตัวเขา ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตาม อย่าคิดวางมือเด็ดขาดจนกว่ามันจะเสร็จ

ไอน์สไตน์ในวัยหนุ่มเป็นคนที่พึ่งตัวเองได้และช่างคิด ชอบเเรียนรู้ด้วยความสมัครใจ เขาใช้เวลาหลายชั่วโมงสร้างบ้านจากไพ่และแก้โจทย์คณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน เขาไม่ชอบโรงเรียน ตอนแรกครูคิดว่าเขานั้นโง่ เขาใช้เวลานานในการแก้โจทย์เลขจนครูคิดว่าเขาหัวช้า แต่จริงๆแล้วเขาคิดว่าจะทำยังไงเพื่อหาวิธีที่ดีกว่าในการแก้โจทย์ เรื่องหนึ่งที่ลือกันก็คือไอน์สไตน์นั้นเรียนไม่เก่ง ที่จริงเขาเป็นนักเรียนที่เก่งมาก เขากับวิชาพีชคณิต เรขาคณิต ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ตรีโกณมิติ เรขาคณิตขั้นสูง ทุกวิชาที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เขาเป็นนักเรียนเกรดเอ และเมื่อไอสไตน์ได้จังหวะเล่นงานครู พวกเขาก็ไม่มีทางสู้เลย เขาจะถามคำถามครูแล้วครูก็จะหาทางคิดให้ออกแต่ก็คิดไม่ออก  ปี1896 ไอน์สไตน์ออกจากบ้านและเข้าเรียนที่โปลีเทคนิคแห่งสหพันธรัฐสวิสที่ซูริค ที่เขาฝึกหัดเป็นครูฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ ที่นี่เองที่เขาได้พบโลกเสรีทางปัญญาและยังได้พบผู้หญิงอีกด้วย

ผู้หญิงต่างรุมล้อมเขาเพราะว่าเขาหน้าตาดีมาก เขามีลักษณะของนักกวี นักดนตรี หรือนักเขียน มากกว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์  ที่โปลีเทคนิคนี่เอง ไอน์สไตน์วัย 17 ปีตกหลุมรักนักศึกษามิเลว่า มาริช ซึ่งเป็นนักศึกษาฟิสิกส์จากเซอร์เบียและแก่กว่าเขา 4 ปี เธอสวยมาก ไอน์สไตน์เล่าต่อมาว่าตาของเธอดึงดูดเขา และพวกเขาก็สร้างความสัมพันธ์ที่ร้อนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าไอน์สไตน์จะมีแฟลตของตัวเองไว้บังหน้า แต่ว่าจริงๆแล้วพวกเขานั้นอยู่ด้วยกัน พวกเขานั้นเป็นคู่กัน มิเลว่าเป็นผู้หญิงที่ไม่ธรรมดา เธอฉลาดมากและชัดเจน เป็นผู้หญิงที่กำลังศึกษาปริญญาเอกอยู่ เมื่อสมัย 100 กว่าปีก่อนถือว่าไม่ธรรมดามากๆ และมิเลว่าก็เป็นนักฟิสิกส์ที่เก่งมากๆอีกด้วย คู่รักทั้งสองเขียนจดหมายรักถึงกันและไอน์สไตน์ถึงกับแต่งกลอนให้ด้วย  เขาไม่ใช่คนรักแบบทั่วไปที่เป็นแบบหวานแหวว นี่คือคนสองคนที่หลงใหลซึ่งกันและกัน แต่ก็หลงใหลในฟิสิกส์มากๆด้วย ไอน์สไตน์มีความขี้เล่นอยู่มาก เขาบอกว่าเธอสวยแค่ไหน เธออวบอัดแค่ไหน ว่าเขาจำร่างอันอบอุ่นของเธอได้ แล้วเขาก็จะเปลี่ยนไปพูดว่า ฉันเพิ่งอ่านหนังสือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามา

แต่ความสัมพันธ์เริ่มมีปัญหา ทั้งสองครอบครัวต่างก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะดีพอสำหรับลูกของตัวเอง  แม่ชาวยิวจากชนชั้นกลางของไอน์สไตน์ตกใจกับคู่ที่ลูกชายเลือก เธอเห็นว่ามิเลว่ามาจากเซอร์เบีย เป็นคนต่างชาติที่สถานะทางสังคมต่ำกว่าลูกชายเธอ  ครอบครัวไอน์สไตน์โดยเฉพาะแม่ของเขาเกลียดมิเลว่า แล้วเมื่อไอน์สไตน์พูดตอนเรียนจบว่า เขาต้องการแต่งงานกับเธอ แม่ของเขาถึงกับปล่อยโฮและสะอื้นอยู่บนเตียงของเธอ แม่ของไอน์สไตน์บอกเขาว่าลูกกำลังทำลายอนาคตและทำลายโอกาสตนเอง ถ้าเธอท้องชีวิตลูกต้องยุ่งเหยิงแน่นอน  ภายในไม่กี่เดือน มิเลว่าตั้งครรภ์ ในยุคนั้นการมีลูกโดยไม่ได้แต่งงาน ไม่เพียงทำลายสถานะทางสังคมของไอน์สไตน์ แต่ยังเป็นเรื่องการงานอีกด้วย ไอน์สไตน์มีทางเลือกเดียว อะไรจะมาก่อน ลูกของเขาหรือว่าการงาน?

ปี 1901 ชีวิตของไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์วัย 22 กำลังล่มสลาย เขามีปริญญาแต่ตกงาน และแฟนของเขามิเลว่า มาริชตั้งครรภ์ การมีลูกนอกสมรสถืเป็นความอัปยศทางสังคม  ไอน์สไตน์ยืนยันให้มิเลว่าไปคลอดที่บ้านพ่อกม่เธอในเซอร์เบีย ห่างไปหลายร้อยไมล์ ทารกเพศหญิงชื่อว่าลีเซล ไอน์สไตน์ไม่เคยเห็นหน้าลูกคนแรก  เธออาจถูกรับไปเลี้ยงโดยใครสักคน จนถึงทุกวันนี้ชะตาของลีเซลยังคงเป็นปริศนาอยู่ ลีเซลหายไปจากบันทึกของราชการและหายไปจากชีวิตของไอน์สไตน์ เมื่อตอนอายุสองขวบเธออาจเสียชีวิตไปด้วยโรคหรือถูกส่งให้คนอื่นไปรับเลี้ยง เราไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ คงเป็นเรื่องน่าเจ็บปวดของทั้งสองฝ่ายที่ต้องเสียลูกไป แต่พวกเขาก็ยังคงต้องดำเนินชีวิตต่อไป

มิถนายน ปี1902 ไอน์สไตน์ได้งานที่เขาชอบ เขาได้งานเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านเทคนิคชั้นสาม ในสำนักงานสิทธิบัตรสวิสในกรุงเบิร์น งานราชการที่มั่นคง เวลาทำงานที่มีชั่วโมงแน่นอน ทำให้มีเวลาคิดทฤษฎีของเขาในตอนค่ำและสุดสัปดาห์ และยังให้ความมั่นคงทางการเงินจนแต่งงานกับมิเลว่าได้ แต่ขั้นแรกเขาต้องเอาชนะใจพ่อแม่ของเขาก่อน ในที่สุดเขาได้รับอนุญาตจากพ่อ ตอนที่พ่อของเขานอนบนเตียงใกล้ตาย ไม่นานหลังพ่อของเขาเสียชีวิต ไอน์สไตน์แต่งงานกับมิเลว่า เธออายุ 28 ปี เขาอายุ 24 ปี ไอน์สไตน์ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง 6 วันต่อสัปดาห์ ที่สำนักงานสิทธิบัตร พอกลับมาบ้านและทุกนาทีที่ว่างก็ทำงานทางด้านทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ไอน์สไตน์เป็นชายหนุ่มที่ไม่อยู่เฉยๆ  ไม่มีอะไรแม้แต่ครอบครัวที่จะขวางความคิด ความใฝ่ฝันของเขาได้ ไอน์สไตน์ทำงาน งานด้านฟิสิกส์บนโต๊ะในครัว ซึ่งเงินไม่เคยพอเลย มิเลว่าก็บ่นอยู่เรื่อย

พฤษภาคม ปี1904 มิเลว่ากำเนิดลูกชายคนแรก ฮานส์อัลเบิร์ต แต่แม้มีเด็กเกิดใหม่ในบ้าน ไอน์สไตน์ก็ยังหมกมุ่นแต่งาน เขาละเลยความต้องการของภรรยายิ่งขึ้น ความฝันด้านวิชาการของเธอแตกสลายไป เธอกลายเป็นแม่เต็มเวลาที่ต้องดูแลลูกๆของเธอ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเธออยู่แต่ในเงาของสามีเธอ มีความตึงเครียดในชีวิตสรส เขาและมิเลว่าแทบไม่ได้คุยเรื่องฟิสิกส์กันเหมือนแต่ก่อน เขากลับเลือกทำงานดึกที่สำนักงานแทน เขาเรียกมันว่า กุฎิฆราวาสที่เขาคิดค้นพัฒนาทฤษฎีวิทยาศาสตร์ได้อย่างสงบ ไอน์สไตน์เชื่อว่าความคิดเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เขาเขียนรายงานฉบับแล้วฉบับเล่า มั่นใจว่าการอุทิศตนอย่างแน่วแน่ของเขาจะส่งผลในไม่ช้า ในปี 1905 เป็นปีที่สุดมหัศจรรย์ของไอน์สไตน์ จู่ๆเขาก็เขียนรายงานได้สี่ฉบับที่เปลี่ยนโฉมหน้าของวิทยาศาสตร์และความก้าวหน้าของมนุษย์ ทั้งสี่ฉบับนั้นถูกเขียนขึ้นห่างกันแปดสัปดาห์และมันก็ร้อนแรงมากๆ

ฉบับที่โด่งดังที่สุดคือเรื่องทฤษฎีสัมพันธภาพ และสมการที่อธิบายทฤษฎีคือ E=mc2 ไอน์สไตน์เป็นอัจฉริยะที่พอได้ความคิดที่ยอดเยี่ยมก็จะปิดตัวเองด้านอารมณ์ ย้ายอารมณ์ทั้งหมดไปที่อื่นซะ แล้วมิเลว่าก็ถูกผลักให้ห่างออกไปอีกและหายเข้าไปในเงามืด การที่เอ็ดเวิร์ดลูกคนที่สองเกิดมา ไม่ได้ช่วยชีวิตสมรสไอน์สไตน์และมิเลว่าเลย มิเลว่าไม่พอใจในความหมกมุ่นในงานของสามี ขณะที่เธอต้องอยู่บ้านกับลูกๆ เธอไม่พอใจที่เขากำลังโด่งดังกับชื่อเสียงทางวิทยาศาสตร์ แต่อาชีพของเธอกลับจบสิ้นลง เธอได้เห็นด้วยว่าความหลงใหลในตัวเธอก็จางลง เขาแยกห้องนอนและไอน์สไตน์ก็หลีกเลี่ยงที่จะแตะต้องเธอ และมิเลว่าก็พบว่าไอน์สไตน์มีมิตรภาพให้หญิงอื่น เพื่อนหญิงคนหนึ่งเขียนจดหมายถึงเขา ฟังดูเหมือนกับว่าจะนัดพบกัน แต่ว่ามิเลว่าพบจดหมายนั้นก่อน เธอออกอาการหึงหวงและเขียนจดหมายถึงสามีผู้หญิงคนนั้น และไอสไตน์ไม่พอใจมากเขาบอกว่ามิเลว่านั้นอัปลักษณ์และก็ขี้หึง

ในการเดินทางธุรกิจไปเบอร์ลินในปี 1912 ไอน์สไตน์พบกับลูกพี่ลูกน้องและเพื่อนวัยเด็ก เอลซ่า ซึ่งแก่กว่าไอน์สไตน์สามปี เธอเป็นแม่ม่ายหย่าสามีที่มีฐานะและมีลูกสาวสองคน เพราะความวุ่นวายและหึงหวงของมิเลว่า ไอน์สไตน์รู้สึกว่าเอลซ่าเหมือนอากาศบริสุทธิ์ พวกเขาเริ่มลักลอบเป็นชู้กัน ความสัมพันธ์ของไอน์สไตน์และมิเลว่าเลวร้ายจนเขาหลีกเลี่ยงการอยู่ลำพังกับเธอ ในที่สุดก็ยื่นเงื่อนไขต่างๆที่ต้องทำหากต้องการอยู่กับเขา เงื่อนไขในการอยู่ด้วยกันนั้นรุนแรงมาก ไอน์สไตน์เรียกร้องว่าเมื่อฉันพูดกับเธอ เธอต้องตอบฉันทันที แล้วถ้าฉันให้เธอออกจากห้องของฉัน เธอต้องออกไปทันที ในที่สุดสิ่งที่แน่นอนก็คือเขาจะไม่ยอมเสียสละ ถ้าเขาใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น มองผู้หญิงอื่นให้น้อยลง บางทีอาจจะรักษาชีวิตสมรสไว้ได้

ปี 1914 เมื่อไอน์สไตน์รับตำแหน่งอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน มิเลว่าและลูกๆต่างก็ไปเมืองหลวงของเยอรมันนี 3 เดือนต่อมามิเลว่ากลับสวิตเซอร์แลนด์พร้อมลูกๆ แต่เธอไม่กลับไปอีก 1 เดือนต่อมาเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ไอน์สไตน์ผู้รักสันติภาพอย่างจริงจังและเปิดเผย ถอยกลับเข้าห้องทดลองและทำงานวิทยาศาสตร์ต่อไป ชีวิตส่วนตัวเขาพังทลาย และที่ผ่านมาทฤษฎีที่คิดขึ้นใหม่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ จนเกือบสิบปีหลังจากที่เขาตีพิมพ์มันขึ้นมา ตอนต้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในปี1914 ชีวิตส่วนตัวของไอน์สไตน์กำลังพังทลาย เขาแยกกันอยู่กับภรรยามิเลว่าที่อยู่กับลูกชายสองคนในสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเขาไม่ค่อยได้เห็นหน้า ขณะยุโรปเริ่มเข้าร่วมสงคราม ไอน์สไตน์ผู้รักสันติอย่างจริงจังขังตัวเองในห้องทำงานในกรุงเบอร์ลิน เขาบอกว่ามันบ้ามากๆ ไม่มีเหตุผลเลย คนหลายล้านจะตายโดยไร้เหตุผล มาหยุดมันให้สงครามยุติเถอะ นี่เป็นจุยืนที่ไม่เป็นที่นิยมอย่างมากในเยอรมันนีตอนนั้น แต่ว่าไอน์สไตน์ไม่สนใจ

ในปีนั้นสถาบันชั้นนำของเยอรมันนีตีพิมพ์คำประกาศเพื่อปกป้องที่เยอรมันนีรุกรานชาติอื่น ไอน์สไตน์จัดรวบรวมชื่อเพื่อสันติภาพบ้าง แต่ได้เพียงสามลายเซ็นต์เท่านั้น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นคนรักสันติเสมอมา เขาเคยเจอทหารแล้วก็กลัวมากเลยทีเดียว ตอนเป็นเด็กพอเห็นทหารเดินแถวอย่างเข้มแข็งตามถนนในเยอรมันนี เขาขอพ่อแม่ว่าอย่าให้เขาต้องโดนเกณฑ์ไปเป็นทหารเลย ไม่ว่าจะในรูปแบบใด เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับเขาโดยสิ้นเชิง รวมทั้งจิตวิญญาณในตัวของเขาด้วย ไอน์สไตน์ดึงตัวไปสู่โลกแห่งทฤษฎีทางฟิสิกส์ ไอน์สไตน์เก็บตัวเองอยู่กับงานที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไป ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงที่แสดงเวลาในอวกาศซึ่งยืดหยุ่นและโน้มเอียงและทำนายว่าจะมีการขยายตัวของจักรวาล หลังทำงานหนักอยู่หลายปีเพื่อพัฒนาทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ไอน์สไตน์ก็เหนื่อยอ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ

ในปี1916 เขาล้มป่วย เอลซ่าลูกพี่ลูกน้องของเขาที่เริ่มเป็นชู้กันเมื่อ 4 ปีก่อนคอยพยาบาลจนเขาหายดี ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ค่อยโรแมนติก เป็นแบบแม่ห่วงลูกมากกว่า และมีส่วนของการดูแลเอาใจใส่ที่เขาต้องการ เอลซ่าไม่ได้เสแสร้งในเรื่องความสำเร็จทางวิชาการ ซึ่งทำให้เขาโล่งใจหลังจากที่ได้เจอแบบมิเลว่ามา ความสัมพันธ์ของพวกเขาลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่ก่อนแต่งงานกันไอน์สไตน์ต้องหย่ากับมิเลว่าก่อน การหย่าของพวกเขาเจ็บปวดอย่างมากสำหรับมิเลว่า ลูกๆและก็ไอน์สไตน์เอง ครอบครัวนั้นแตกสบายจริงๆ ในการเดินทางไปเบอร์ลินซึ่งตอนนั้นเขาเป็นศาสตราจารย์ชั้นนำแล้ว เขาไปเยี่ยมลูกๆบ้างเป็นครั้งคราว เขาบอกว่าเขาร้องไห้ตลอดทางกลับบ้านหลังจากได้เจอลูก

ปี1919 เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตการงานและชีวิตส่วนตัวของไอน์สไตน์ ปีนั้นเขาหย่ากับมิเลว่าทำให้เป็นอิสระและแต่งงานกับเอลซ่าได้ เอลซ่านั้นหน้าตาไม่ดีเท่ามิเลว่า เอลซ่าประสบความสำเร็จกับเขาเพราะเธอดูแลเขาเหมือนกับภรรยาในยุคเก่าซึ่งเป็นสิ่งที่มิเลว่าไม่อาจจะเป็นได้ เธอทำอาหารเย็น เฮฮากับเพื่อนๆ และถอยออกห่างเมื่อไอน์สไตน์มีเพื่อนหญิง ปี1919 ยังเป็นปีที่มีปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ไม่ปกติเกิดขึ้น สุริยุปราคา เป็นเหตุการณ์ที่พิสูจน์ว่าทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์นั้นถูกต้อง เป็นจุดที่เขาคิดค้นและฝันถึง เขามีที่สำหรับเขาในประวัติศาสตร์แล้ว หนึ่งในคนแรกๆที่บอกเขาน่าจะเป็นผู้หญิงที่สำคัญที่สุดในชีวิต บุคคลที่เขาเห็นว่าสำคัญที่สุดที่ต้องบอกให้ได้และเขาก็มีความสุขที่สุดที่จะได้บอกว่า ในที่สุดเขาประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามและก็พลิกผันวงการฟิสิกส์ได้ นั่นก็คือแม่ของเขา เขาเขียนโปสการ์ดถึงเธอบอกว่า นี่ผมเพิ่งได้ยินว่าแสงดาวนั้นโค้งตอนเคลื่อนที่ผ่านดวงอาทิตย์ เป็นชัยชนะแท้จริง และทุกอย่างในการงานผมวิเศษมาก ผมมีความสุขมากที่ได้บอกแม่

ชั่วข้ามคืนไอน์สไตน์กลายเป็นคนมีชื่อเสียง ในหนึ่งปีหนังสือกว่าร้อยเล่มตีพิมพ์เรื่องทฤษฎีสัมพันธภาพ ไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าใจทฤษฎีนี้ว่าหมายถึงอะไร ไอน์สไตน์อธิบายไว้ในแบบที่ทุกคนเข้าใจได้ ถ้าคุณนั่งบนจานร้อนๆสักวินาที มันจะดูเหมือนนานเป็นชั่วโมง แต่ถ้าสาวสวยมานั่งบนตักของคุณหนึ่งชั่วโมงก็ดูเหมือนวินาทีเดียวเท่านั้นนั่นแหละครับสัมพันธภาพ ปี1921 ไอน์สไตน์และเอลซ่าเริ่มการเดินทางไปสู่อเมริกาเป็นครั้งแรก ที่นี่เขาได้รับการต้อนรับเยี่ยงดาราหนังหรือราชวงศ์ มีฝูงชนคอยตามเขาไปทุกที่ เอลซ่าชอบมากแต่ไอน์สไตน์ไม่ชอบเลย เขาตกใจจริงๆกับปฎิกิริยาที่เขาพบ ผู้คนมองเขาเหมือนเป็นพระเจ้า เขาเป็นบุคคลตัวอย่าง เป็นซุปเปอร์สตาร์อย่างแท้จริง มันดึงดูดสื่อมวลชนจำนวนมาก ไม่ว่าจะไปที่ไหนและนั่นทำให้เขาตกใจมาก  เขาบ่นเรื่องนักข่าวที่มาตั้งแคมป์อยู่นอกประตู มันมีความวุ่นวายเกิดมากเกินไป  มีคำขอสัมภาษณ์ที่มากเกินไป

ปี1922 ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ 10ปีต่อมาเขาเดินทางไปทั่วโลก บรรยายการค้นพบใหม่ของเขา ให้แฟนผู้อุทิศตนหลายคนฟัง เขากลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของคนรุ่นนั้น แต่ที่บ้านเกิดเยอรมันนี ไอน์สไตน์ไม่ถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะแต่เป็นเพียงคนยิวคนหนึ่ง ปี1932 ฮิตเลอร์กำลังจะกลายเป็นเผด็จการแห่งเยอรมันนี ไม่มีคนยิวคนใดปลอดภัย โดยเฉพาะคนยิวที่ดังที่สุดในโลก ไอน์สไตน์คนยิวเป็นวลีที่ใช้บ่อยมาก พรรคนาซีที่กำลังจะรุ่งจะให้เงินสนับสนุนเมื่อไอน์สไตน์ไปพูด มีเรื่องเข้าหัวของเขาว่าบางทีเขาน่าจะไปซะ มีราคาค่าหัวของไอน์สไตน์ ลือกันว่าห้าพันดอลล่าห์หรือมากกว่านั้น ไอน์สไตน์กลับบอกว่า ฉันไม่คิดว่าฉันมีค่าขนาดนั้นหรอก ยุโรปกลายเป็นสถานที่อันตราย ไอน์สไตน์รู้ว่าเขาไม่มีอนาคตที่นั่น

ปี1932 ครอบครัวอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ล่องเรือไปอเมริกา ซึ่งพวกเขาไม่เคยกลับมายุโรปอีกเลย มันชัดเจนสำหรับเขาว่า เขาจะถูกจับสังหารหรือโยนเข้าค่ายกักกันก็ได้ ไอน์สไตน์ เอลซ่าและลูกสาวสองคนของเธอไปอยู่ในอเมริกา ไม่ช้าไอน์สไตน์ก็ทำงานหนักอีกครั้งหนึ่ง ที่น่าขันก็คือด้วยกฏของธรรมชาตินี่เองที่ทำให้ไอน์สไตน์นักรักสันติภาพตัวยงค้นพบสิ่งที่ถูกนำมาใช้ช่วยสร้างอาวุธทำลายล้างขนาดใหญ่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษยชาติเคยพบเห็นมา หลังหนีพวกนาซีในปี1932 นักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์และครอบครัวลงหลักปักฐานในอเมริกาขณะอายุ 56ปี เขารับตำแหน่งวุฒิการศึกษาขั้นสูงที่พรินซ์ตัน นิวเจอร์ซี่ เขาและภรรยาเอลซ่ากับลูกสาวของเธอสองคนที่เขารับเป็นลูก ลูกชายสายเลือดที่แท้จริงของเขาที่เขาแทบไม่เคยได้เห็นหรือพูดคุยด้วยยังอยู่ในยุโรปกับแม่

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ชอบอเมริกา เขากลายเป็นพลเมืองอเมริกันเขารู้สึกสบายใจจริงๆในอเมริกาในแง่ที่ว่าเขามีความสงบและสันติ พรินซ์ตันเป็นที่ๆวิเศษสำหรับเขา เขาไม่ต้องรับผิดชอบด้านการสอน ไม่ต้องรับผิดชอบด้านการบริหาร เขาได้ทำอย่างที่เขาต้องการ ที่สถาบันไอน์สไตน์ได้ทำงานเรื่องทฤษฎีสนามรวม เป็นการพยายามอธิยายทุกสิ่งในธรรมชาติด้วยสมการเดียว เขาค้นหาต่อไปเพื่อความจริงอันเป็นที่สุด ความจรงที่เป็นเป้าหมาย ซึ่งเขาเชื่อว่าเข้าถึงได้โดยคณิตศาสตร์เท่านั้น แต่ไอน์สไตน์ไม่ได้อยู่ได้ด้วยงานทางวิชาการเท่านั้น เขาชอบผู้หญิงมาโดยตลอดและด้วยความที่เป็นคนดังก็มีสาวมากมายมาชอบเขา เขาไม่เคยมีขอบเขตส่วนตัว นั่นคือวิธีที่เขาใช้ชีวิต และเขาได้ชื่อว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก เขามีเงินมากมาย เขาดูแลตนเองเป็นอย่างดี เขาอยู่ในสภาพที่ดีและเขาก็มีกลุ่มคนล้อมรอบเขาทุกที่ ผู้คนจะแนะนำเขาให้รู้จักผู้หญิงอยู่เสมอ แล้วเขาก็จะเชิญผู้หญิงมาที่บ้าน แล้วเขาจะสวมเสื้อคลุมอาบน้ำผ้าไหม จะคุยกับเธอ เสื้อคลุมก็จะเปิดออกโดยไม่ตั้งใจ ถ้าเธอเล่นด้วยก็ดี  แต่ถ้าไม่ก็แล้วไป

มีสาวที่เด็กกว่าหลายคนที่เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย เอลซ่ายอมทน เธอไม่มีทางเลือก เพราะสำหรับการแต่งงานครั้งแรก ไอน์สไตน์ได้วางกฎเกณฑ์พื้นฐานในการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน พวกเขาแยกห้องนอนกัน เขาจะคบใครก็ได้ที่เขาต้องการ ผู้หญิงจะมาในรถที่มีคนขับเพื่อไปดูโอเปร่ากับเขา อีกสองวันเขาถึงกลับบ้าน และผู้หญิงพวกนั้นต้องมีกล่องลูกอมมาฝากเอลซ่า เอลซ่าไม่พอใจเรื่องนี้แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้เลย เขาวิ่งไปมากับผู้หญิงมากมาย เธอไม่ได้มีความสุขเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าเธอก็ยังยอมทนในแบบที่เธอทำใจไว้แล้ว ฤดูใบไม้ร่วงปี1935 เอลซ่าล้มป่วยหนัก 20ปีก่อนที่ไอน์สไตน์ล้มป่วย เธอพยาบาลจนเขาหายดี คราวนี้บทบาทสลับกัน ไอน์สไตน์ดูแลเธอจนวันสุดท้ายของเธอ เธอทึ่งกับความรักและการดูแลที่ไอน์สไตน์แสดงกับเธอตอนที่เธอกำลังจะตาย เอลซ่า ไอน์สไตน์เสียชีวิตในวันที่ 20 ธันวาคม ปี1936 อายุได้ 60 ปี ทั้งคู่แต่งงานได้เกือบ 17ปี หลังจากเธอตายไอน์สไตน์ก็กลับเข้าห้องทำงานทันที เขาบอกว่าเป็นทางที่ดีที่สุดที่เขาจะรับมือกับเหตุการณ์นี้

แต่งานของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์โดนขัดจังหวะ เมื่อทีมนักวิทยาศาสตร์ที่อพยพมา เล่าให้เขาฟังว่า นาซีอาจกำลังค้นพบอาวุธใหม่ที่น่ากลัว เขาตระหนักว่าถ้าอาวุธที่มีอำนาจสูงอย่างระเบิดปรมาณูตกอยู่ในมือของนาซี ก็จะกลายเป็นจุดจบของอารยธรรมได้และจะส่งผลให้มนุษยชาติถอยหลังกลับไปหลายศตวรรษ ยุโรปกำลังใกล้มีสงครามเข้ามา ไอน์สไตน์รู้สึกตกใจกับการยึดยุโรปของฮิตเลอร์ ไอน์สไตน์รู้ว่าลัทธินาซีเป็นตัวตนแห่งความชั่วร้าย และเขาเข้าใจว่าภายใต้สถานการณ์ที่พิเศษจริงๆ เมื่อมีความชั่วร้ายขั้นสุดยอด มันก็จำเป็นต้องใช้กำลัง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ถูกบีบให้ต้องทิ้งความรักสันติ วันที่ 2 สิงหาคม ปี1939 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ร่วมลงนามในจดหมายถึงประธานาธิบดีรูสต์เวล ให้ทราบถึงปรากฏการณ์ใหม่ที่จะนำไปสู่การสร้างระเบิด จดหมายนี้ช่วยให้เกิดโครงการแมนฮัตตัน เป็นการแข่งขันของอเมริกาเพื่อสร้างระเบิดปรมาณู

เขาถูกวิจารณ์ว่าไม่คงเส้นคงวา เขาอธิบายให้นักศึกษาฟังว่า ใช่ผมทำให้คุณผิดหวัง แต่เพื่อรับประกันว่าเสรีภาพให้คงอยู่ ชายคนนี้ อุดมการณ์นี้จะต้องหยุด ซึ่งเขาหมายถึงฮิตเลอร์ อเมริกันชนะการแข่งสร้างระเบิดปรมาณู และในเดือนสิงหาคม ปี1945 พวกเขาทิ้งระเบิดสองลูกใส่ที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิ กว่าสองแสนคนเสียชีวิต เมื่ออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ได้ยินข่าว เขาถึงกับทรุดลงแล้วบอกว่า ฉันน่าจะเผานิ้วของฉันที่เขียนจดหมายนั่นถึงประธานาธิบดีรูสต์เวล สำหรับทั่วโลกไอน์สไตน์เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นบิดาแห่งระเบิดปรมาณู พลังงานเท่ากับมวล นั่นคือหลักพื้นฐานของระเบิดปรมาณู แต่ต้องพูดถึงความเข้าใจว่า คุณต้องเปลี่ยนมวลเล็กน้อยให้เป็นพลังงานจำนวนมากแล้วทำให้ทั้งเมืองราบนั้นเป็นสิ่งที่ไอน์สไตน์ไม่เคยทำ เขาไม่เคยทำงานเรื่องปรมาณูหรือโครงการปรมาณูเลย

ความน่ากลัวของฮิโรชิม่าและนางาซากิคอยตามหลอน เขาคอยรณรงค์ต่อต้านการใช้อาวุธทำลายล้างสูงอย่างระเบิดปรมาณู ปี1949 อยู่ที่พรินซ์ตัน นิวเจอร์ซี่ ตอนรัสเซียทดลองระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรก อเมริกาโดนความกลัวคอมิวนิสต์เข้าเกาะกุม หัวหน้าเอฟบีไอคนหนึ่งคิดว่าอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นคอมมิวนิสต์และคิดล้มล้างประเทศ เอฟบีไอได้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับไอน์สไตน์และความคิดทางการเมืองมาหลายสิบปี พวกเขากล่าวหาไอน์สไตน์ว่าเขาเหมาะกับองค์กรคอมมิวนิสต์ยิ่งกว่าโจเซฟ สตาร์ลินซะอีก ไอน์สไตน์ถูกสอดแนมอย่างใกล้ชิดและถูกดักฟังทางโทรศัพท์ เรื่องราวทั้งหมดนั้นเป็นความลับ แต่ไอน์สไตน์นั้นยิ่งใหญ่พอและไม่สนใจว่ามีคนคิดกับเขาอย่างไร เขาเป็นชายที่มีความมั่นใจส่วนตัวมากๆ มีคนถามเขาว่าอะไรจะเป็นอาวุธหลักของสงครามโลกครั้งที่สาม เขาตอบว่าเขาไม่รู้ แต่รับประกันได้ว่าอาวุธหลักของสงครามโลกครั้งที่ 4 คือไม้กอล์ฟ ไม่มีอะไรเหลือ อารยธรรมจะถูกทำลาย

ปี 1955 ไอน์สไตน์ลงชื่อในคำร้องให้ล้มเลิกการผลิตอาวุธปรมาณูและสงคราม เขาบอกว่าตอนนี้เราต้องเขาหาพลเรือนเพื่อควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ เข้าหาองค์กรระหว่างประเทศ รัฐบาลควรจะร่วมมือเพื่อเข้าสู่สันติภาพ แทนที่จะมุ่งสู่สงคราม เขาเป็นสัญลักษณ์ของศตวรรษที่20 แต่ในฐานะผู้ชาย เขาทำให้ครอบครัวผิดหวัง ความรักในวิทยาศาสตร์ของไอน์สไตน์ไม่เคยลดลง เขายังคงทำงานทุกวันเกี่ยวกับทฤษฎีของเขา จนวันที่ 18 เมษายน ปี1955 ตอนที่เขาเข้าโรงพยาบาลบ่นว่าเจ็บหน้าอกเป็นปัญหาที่ร้ายแรงที่อาจรักษาได้ เขาไม่ยอมผ่าตัดซึ่งอาจจะช่วยรักษาเขาได้ เขากลับบอกว่าพอแล้ว ฉันได้ทำงานในส่วนของฉันแล้ว ถึงเวลาต้องไปอย่างสวยงามสักที อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เสียชีวิตต่อมาในวันนั้น เขาอายุ 76ปี นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกยุคใหม่ เขาไม่ต้องการพิธีการใหญ่โต เพื่อทำตามคำขอของเขา ศพของไอน์สไตน์ถูกเผาและอัฐิถูกโปรยลงในสถานที่ที่ไม่มีใครรู้ มรดกของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ก็คือแรงบันดาลใจ คือคนที่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ผู้คนไม่ค่อยกล้าที่จะทำ ไม่มีใครเหมือนเขามาก่อน เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักตลอดกาล

จัดอันดับ
สยองขวัญ
ประวัติศาสตร์
เมนูอาหาร
สุขภาพ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

5 สุดยอดร้านสุกี้ทั่วกรุง 5 สุดยอดร้านโจ๊กในกรุงเทพ 50 อาหารแปลกแต่ขายดีของญี่ปุ่น 101 เมนูซูชิ 5 สุดยอดร้านกระเพาะปลาในกรุงเทพ อาหาร 100 อย่างตามทางรถไฟสายยามาโนเตะ อาหารเวียดนาม ขนมไทยโบราณที่น่าจดจำ และ ขนมไทยมงคล ๙ อย่าง 30 อันดับขนมหวานเมืองคามาคูระประเทศญี่ปุ่น อาหารประเทศอาเซียน 7 ขนมหวานยอดฮิตของเยอรมัน  อาหารลาว 10 สายพันธุ์งูน่าทึ่ง 25 สถานที่ดำน้ำทั่วโลก 25 สัตว์น้ำรูปร่างหน้าตาประหลาด ไขปริศนาใครคือแจ๊คเดอะริปเปอร์ (Jack The Ripper) 20 พืชผักแปลกสายพันธุ์เก่าแก่ 10 อันดับสัตว์มีพิษ ตำนานธอร์ (Thor) เทพสายฟ้า 10 อันดับสัตว์สถาปนิก 15 สัตว์โลกสวยงามที่ใกล้สูญพันธุ์ เปิดแฟ้มลับชีวิตรัก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) เห็ดมีพิษ 10 อันดับฆาตกรเด็ก 10 อันดับสัตว์ผีดูดเลือด 10 อันดับสัตว์แปลกที่คนไทยนิยมเลี้ยงมากที่สุด 10 เกมส์ดีที่โลกควรรู้จัก ช่วยฝึกสมอง เด็กเล่นได้ไม่รุนแรง แนะนำ Android Games Cloud Computing http://megatopic.blogspot.com/2013/08/20-90s.html http://megatopic.blogspot.com/2013/12/dead-island-riptide.html http://megatopic.blogspot.com/2013/09/blog-post_2.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/application-iphone-ipad-1.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/blog-post_866.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/101.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/application-iphone-ipad-1.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/botox-filler.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_8739.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_8.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/great-wall-of-china.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_3921.html http://megatopic.blogspot.com/2013/10/blog-post_24.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_8781.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/blog-post_23.html http://www.blogger.com/%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7...%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_19.html http://megatopic.blogspot.com/2013/10/blog-post_6477.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/butterfly-pea.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_7684.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/blog-post_6.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_27.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/nikita-khrushchev.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_16.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_3574.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/8.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/blog-post_22.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_954.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_28.html http://megatopic.blogspot.com/2013/09/blog-post_17.html http://megatopic.blogspot.com/2013/11/2-tasty-too.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/blog-post_22.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/10.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/7.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_4.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/blog-post_7834.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/stephen-hawking.html http://megatopic.blogspot.com/2013/09/10_13.html http://megatopic.blogspot.com/2013/09/10_27.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/10.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_14.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/acerola-cherry.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_18.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/albert-einstein.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_30.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/blog-post_26.html http://megatopic.blogspot.com/2013/09/blog-post_6378.html http://megatopic.blogspot.com/2013/09/blog-post.html http://megatopic.blogspot.com/2013/10/blog-post_28.html http://megatopic.blogspot.com/2013/11/blog-post_24.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/apache-helicopter.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/blog-post_7038.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/25_22.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/blog-post_20.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/blog-post_28.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_4929.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/blog-post.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_18.html