ส่วนผสม (สำหรับ 10 ที่)
เตรียม 15 นาที ปรุง 60 นาที
แป้งสาลีอเนกประสงค์ (ร่อนแล้ว) 150 กรัม
เนยเค็ม (อุณหภูมิปกติ) 150 กรัม
น้ำตาลทราย 115 กรัม
ไข่ไก่เบอร์ 2 (ตีไข่พอแตก) 2 ฟอง
เบกกิ้งโซดา ½ ช้อนชา
ผงฟู ½ ช้อนชา
ผงชาเขียว 2 ช้อนชา (ละลายในน้ำเย็น 6 ช้อนโต๊ะ)
วิปปิ้งครีม สูตรโลว์ – แฟต 50 มิลลิลิตร
วิธีทำ
1.ใส่ เนยเค็มลงในโถปั่น ใช้ความเร็วเบอร์ 2 ตีจนเนยขึ้นฟูหรือเป็นสีเหลืองอ่อน จากนั้นใส่น้ำตาลทรายลงไปตีต่อให้เนื้อเนียน ตามด้วยไข่ไก่
ผสมแป้ง ผงฟู และเบกกิ้งโซดาเข้าด้วยกัน ใส่ลงในโถปั่นสลับกับวิปปิ้งครีม โดยแบ่งใส่ 3 ครั้ง ตีจนส่วนผสมเข้ากันดี จากนั้นตักส่วนผสมแบ่งออกมา 4 ช้อนโต๊ะ เพื่อนำมาผสมกับชาเขียวที่ละลายน้ำเย็นไว้แล้ว คนจนเป็นเนื้อเดียวกัน พักไว้
2.เทส่วนผสมที่เหลือลงในพิมพ์วงกลมสำหรับ 2 ปอนด์ จากนั้นหยดส่วนผสมแป้งและชาเขียวที่แยกไว้ตามลงไปประมาณ 8-9 หยด เพื่อทำลายหินอ่อน โดยใช้ส้อมหรือตะเกียบวนเบาๆให้เป็นลาย ลึกประมาณ 2 เซ็นติเมตร
นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส 30 นาที เมื่ออบเสร็จจะได้เนื้อเค้ก 2 สี คือสีเหลืองและสีเขียวสลับเหลืองเหมือนลายหินอ่อน พักไว้ให้เย็น
Tips
หากไม่มีเนยเค็ม สามารถใช้เนยจืดแทนได้ โดยผสมเกลือป่นปลายช้อนชา
การแบ่งใส่ส่วนผสมแป้ง 3 ครั้งในวิธีการทำข้อ 2 เนื่องจากหากใส่แป้งลงไปทั้งหมดในคราวเดียวกัน ส่วนผสมจะแห้งมาก ตีได้ไม่เนียน
ส่วนผสมหน้าเค้กชาเขียว
ผงชาเขียว 3 ช้อนชา (ละลายในน้ำเย็น 7 ช้อนโต๊ะ)
น้ำเปล่า 150 มิลลิลิตร
นมข้นจืดคาร์เนชัน (1) 100 มิลลิลิตร
ครีมข้น สูตรโลว์ – แฟต ตรา Rich’s 150 มิลลิลิตร
แป้งข้าวโพด 50 กรัม
นมข้นจืดคาร์เนชัน (2) 110 มิลลิลิตร
น้ำตาลทราย 80 กรัม
เนยเค็ม 100 กรัม
อัลมอนด์สไลซ์ และช็อกโกแลตขูด สำหรับแต่งหน้าเล็กน้อย
วิธีทำหน้าเค้กชาเขียว
1.ผสมน้ำตาล น้ำเปล่าและนมข้นจืด (1) ลงในหม้อ ตั้งไฟอ่อนให้พออุ่น
เตรียมผสมแป้งข้าวโพดกับนมข้นจืด(2) คนให้ละลายเข้ากัน พักไว้
ใส่ ชาเขียวละลายน้ำเย็นลงในหม้อ ตามด้วยส่วนผสมข้อ 2 พยายามคนตลอดเวลา เพื่อไม่ให้แป้งจับตัวเป็นก้อน คนจนส่วนผสมเหนียวคล้ายสังขยา จากนั้นใส่ครีมข้นลงไปและเนยเค็ม คนจนละลายเป็นเนื้อเดียวกัน ยกลงจากเตา พักไว้ให้เย็น จากนั้นนำไปแช่เย็นเพื่อให้ส่วนผสมเซ็ทตัวประมาณ 30 นาที
2.เมื่อ ครีมเซ็ทตัวดีแล้ว นำมาแต่งหน้าเค้กโดยปาดให้ทั่ว โรยด้วยอัลมอนด์สไลซ์และช็อกโกแลตขูด เพื่อความสวยงามและเพิ่มรสชาติให้เค้กหอม มันยิ่งขึ้น
สูตรอาหารจาก
http://www.healthandcuisine.com