รสชาติลงตัว! ทำซอสจากลูกตำลึงแทนซอสมะเขือเทศ

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการกิน อยู่ คือ  credit Kapook.com


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการกิน อยู่ คือ

           ทุกวันนี้ อาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่เด็กวัยรุ่นวัยเรียนทั้งหลาย หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่ที่ต้องทำเวลาก็เลือกที่จะบริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ดเพื่อ ความสะดวก รวดเร็ว และสิ่งหนึ่งที่มักจะมาพร้อมกับอาหารฟาสต์ฟู้ดก็คือ บรรดาซอสทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นมะเขือเทศ หรือซอสพริก ที่คุณ ๆ นำมาเยาะจิ้มอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติกันหน่อย

           แต่ ถ้าหากวันนี้คุณเบื่อซอสมะเขือเทศแล้วล่ะก็ ทางรายการ "กิน อยู่ คือ" ก็มีทางเลือกใหม่ ๆ สำหรับการทำซอสมาฝากกัน นั่นก็คือ การทำซอสจากลูกตำลึง แทนซอสมะเขือเทศนั่นเอง

           ตำลึง ผักที่มักขึ้นเป็นเถาเลื้อยอยู่ตามรั้วบ้านคุณนั้น คุณจะรู้ไหมว่า แท้จริงแล้วมันกินได้แทบจะทุกส่วน หลายคนอาจรู้ว่าสามารถนำใบมาทำเป็นอาหารได้ แต่นอกจากนี้ในสมัยก่อน คนนิยมนำลูกตำลึงที่ยังไม่สุกมาทำอาหารหลายอย่างเช่น ดอกผักเสี้ยน แกงคั่วลูกตำลึง เอามาทำเป็นของหวานอย่างลูกตำลึงแช่อิ่มก็ดี แต่สำหรับลูกตำลึงแก่ที่มีผลสีแดงแล้วนั้น ส่วนใหญ่คนไม่รู้ว่าจะนำมาทำอะไร ก็จะปล่อยทิ้งเป็นอาหารนก กา ไปซะมากกว่า แต่ นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ อาจารย์พงษ์ศักดิ์ ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการอาหารมานาน สังเกตเห็นว่า ทำไมนกถึงกินได้ จึงได้ลองนำมาชิมรสชาติดู จึงพบว่า มันมีรสเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ คละเคล้ากันไป ตลอดจนเนื้อที่มีความข้น จึงคิดว่าน่าจะสามารถนำมาทำซอสได้





           ว่าแล้ว การทำซอสจากลูกตำลึงจึงเกิดขึ้น โดยเตรียมวัตถุดิบและมีวิธีทำดังนี้

           1. นำลูกตำลึงสุก ๆ ไปล้างในน้ำเปล่าและน้ำเกลือให้สะอาด

           2. นำลูกตำลึงไปครูดกับตะแกรงเพื่อสกัดเนื้อเอาเนื้อออกมา เสร็จแล้วพักเอาไว้

           3. ทำส่วนผสมของซอส โดยเริ่มจากนำพริกชี้ฟ้า กระเทียมดอง เยาะเกลือ มาโขลกให้เข้ากัน

           4. เริ่มขั้นตอนในการปรุงรส นำน้ำส้มสายชู น้ำตาล มาเทลงในหม้อตั้งไฟ เคี่ยวให้เข้ากัน ให้หมดกลิ่นน้่ำส้มสายชูก่อน

           5. จากนั้นนำส่วนผสมของซอสที่โขลกไว้และลูกตำลึงสกัดเป็นเนื้อ แล้วเทลงไปในหม้อปรุงรสที่ตั้งไฟไว้

           6. เคี่ยวให้เนื้อเข้ากันจนมีความข้น


           แต่ในวันนี้เราไม่ได้ทำซอสเพียงอย่างเดียว เราจะทำเมนูเพื่อจะได้ลิ้มลองรสชาติของซอสไปด้วยนั่นก็คือ ปลาอบราดซอสลูกตำลึง มาดูกันว่าวิธีการเป็นอย่างไร แล้วเข้าครัวไปพร้อมกันเลย

           1. เริ่มจากล้างปลากระพงให้สะอาด นำมาแล่เป็นชิ้น ๆ ให้บางเข้าไว้ ก่อนโรยเกลือ โรยพริกไทยเพื่อดับคาว ใส่น้ำมันนิดนึงเพื่อเพิ่มไขมัน

           2. นำเนื้อปลาที่เตรียมไว้เข้าเตาอบ ที่อุณหภูมิประมาณ 350 องศา อบไว้ 10 นาที

           3. จากนั้นทำซอสที่จะราดเนื้อปลา ตั้งกระทะ ใส่เนย ใส่แป้งสาลีลงไปเพื่อให้มีความข้น

           4. ใส่ถั่วขาวถั่วแดง หรือจะเป็นถั่วชนิดอื่นก็ได้ ใส่ลงไป ก่อนเทซอสลูกตำลึงลงไป คนให้ข้น

           5. เมื่อปลาพร้อมแล้ว ก็นำออกมาราดด้วยน้ำราดที่ทำจากซอสลูกตำลึง

           แค่ นี้ก็ได้อาหารจานร้อน ๆ พร้อมเสิร์ฟกินข้าวสวยหอม ๆ สัมผัสลิ้นแล้วได้ลิ้มลองรสชาติของความเข้มข้นของซอสจากลูกตำลึงที่เราปรุง รสเปรี้ยวหวานเผ็ดตามที่เราชอบได้ หลังจากกินอาหารคาวไปแล้ว เราก็มาต่อกันด้วยของหวานล้างปากกันหน่อย ของหวานที่ว่านี้ก็ไม่ใช่อะไร นั่นก็คือ ลูกตำลึงอ่อนแช่อิ่ม ของหวานกินเล่นที่ทำจากลูกตำลึงเช่นกัน เรามาดูวิธีทำกันเลย


            1. นำลูกตำลึงอ่อน ไปลวกให้นิ่ม เป็นเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้แยกเมล็ดออกจากลูกตำลึงได้ง่ายขึ้น

           2. ล้างลูกตำลึงด้วยน้ำเปล่าให้สะอาดก่อนนำไปแช่สารส้มไว้ 2 คืน เพื่อให้ลูกตำลึงแข็ง กรอบ

           3. จากนั้นแช่น้ำเปล่าทิ้งไว้อีกสองคืนเพื่อล้างสารส้มออกให้หมด

           4. เมื่อพร้อมก็ตั้งกระทะ ต้มน้ำให้เดือด เทลูกตำลึงลงไป เทน้ำตาลทรายลงไปในอัตรา น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัมต่อลูกตำลึง 1 กิโลกรัม

           5. คนเข้าด้วยกันด้วยไฟอ่อน ๆ ประมาณสองชั่วโมง จนลูกตำลึงเริ่มมีสีใส

           จากลูกตำลึงอ่อนที่หลายคนคิดว่ากินไม่ได้ ปล่อยทิ้งขว้าง ในตอนนี้ก็กลายมาเป็นของหวานกินเล่น ลูกตำลึงแช่อิ่ม ที่สามารถหาวัตถุดิบได้ง่ายใกล้ ๆ บ้านนี่เอง

           เป็น อย่างไรกันบ้าง กับวิธีการทำซอสจากลูกตำลึง และของหวานจากลูกตำลึง รู้แบบนี้แล้วถ้าใครมีเวลาซักหน่อย ก็เข้าครัวทำเองเลย จะได้ลองรสชาติใหม่ที่ปรุงเองได้ แถมยังหาวัตถุดิบง่ายใกล้ ๆ ตัวด้วย ซอสฝรั่งที่ว่าดีนั้น มาเจอซอสลูกตำลึงพื้นบ้านไทย ก็เจ๋งไม่แพ้กันนะ จะบอกให้^^


ผัดเผ็ดปลาดุกทอด กะเพรากรอบ เมนูนี้น่าลิ้มลอง


ผัดเผ็ดปลาดุกทอด กะเพรากรอบ

เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณแม่ปันปราย

          ปลา ดุกตัวอวบอ้วนลอยหน้าลอยตาอยู่ในกะละมังใบใหญ่ตรงแผงขายปลาในตลาดสดอาจทำให้ ใครหลายคนที่เดินผ่านคิดถึงรสชาติเนื้อปลาดุกแสนอร่อยนี้จนต้องแวะซื้อกลับ มาบ้าน แต่เอ! ซื้อมาแล้วจะทำอะไรกินดีล่ะ จะแกงหรือก็เบื่อ จะทำเป็นยำปลาดุกฟูหรือก็ยุ่งยาก

          ใครที่กำลังประสบปัญหาอยากกินเมนูปลาดุกอร่อย ๆ แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะเอาไปทำอะไรที่มันไม่ค่อยยุ่งยากวันนี้เราเลยขอเสนอทาง เลือกหยิบเมนูน่าอร่อยที่ใช้ปลาดุกเป็นส่วนประกอบหลักจากบล็อกของ คุณแม่ปันปราย มาให้ทุกคนลองทำกันดู เมนูนั้นก็คือ ผัดเผ็ดปลาดุกทอด กะเพรากรอบ นั่นเอง ทีนี้มาดูส่วนประกอบของเมนูนี้กันเลยดีกว่า

ผัดเผ็ดปลาดุกทอด กะเพรากรอบ

           สิ่งที่ต้องเตรียมก็มีดังนี้

  ปลาดุกหั่นเป็นชิ้น 1/2 กก. (แม่ปันปรายซื้อแบบที่เค้าหั่นเป็นชิ้นเรียบร้อยแล้ว)

  กระชายซอย 3 ขีด

  พริกชี้ฟ้า แดง เขียว ประมาณ 4 - 5 ลูก (หั่นแฉลบ)

  ใบมะกรูด  7 - 8 ใบ

  พริกไทยอ่อน 3 - 4 ชิ้น

  พริกแกงเผ็ด 1 ขีด

  น้ำตาลปิ๊ป 2 - 3 ช้้อนโต๊ะ

  ใบกะเพรา 3 กำ

  น้ำมันพืช 1 ทัพพี

  น้ำปลา ซีอิ๊วขาว น้ำมันหอย

ผัดเผ็ดปลาดุกทอด กะเพรากรอบ

ผัดเผ็ดปลาดุกทอด กะเพรากรอบ

           เริ่มทำกันเลยค่ะ

           - ทอดปลาดุกให้กรอบฟู แล้วพักไว้ก่อน (เวลาทอดให้ทอดด้วยไฟแรง แล้วค่อยปรับเป็นไฟกลางนะคะ)
เด็ด ใบกะเพรา ล้างแล้วทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำซักพัก นำไปทอดด้วยไฟปานกลาง จนกระทั่ง ใบกะเพรากรอบ (แบ่งบางส่วนไว้สำหรับผัดพร้อมกับปลาดุกด้วยนะคะ)

ผัดเผ็ดปลาดุกทอด กะเพรากรอบ

           - ผัดพริกแกงกับน้ำมันพืชใช้ไฟปานกลางค่ะ รอให้น้ำมันมีสีแดงสวยงาม ลดไฟเป็นไฟอ่อน แล้วเติมน้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปี๊ป 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ชิมรสดู ให้รสชาติออก เค็มหวาน
เมื่อปรุงรสได้ที่แล้ว ใส่ กระชาย พริกชี้ฟ้า พริกไทยอ่อน แล้วผัดให้เข้ากัน

ผัดเผ็ดปลาดุกทอด กะเพรากรอบ

           - จากนั้นใส่ ปลาดุกทอดและใบกะเพราที่แบ่งไว้ลงไป ผัดให้เข้ากัน

           - เรียบร้อยแล้วค่ะ ตักเสิร์ฟใส่จานได้เลย

ผัดเผ็ดปลาดุกทอด กะเพรากรอบ

           - อย่าลืม โรยกะเพรากรอบก่อนเสิร์ฟนะคะ จะได้น่ากินค่ะ

ผัดเผ็ดปลาดุกทอด กะเพรากรอบ

           และแล้วเจ้าปลา ดุกตัวอ้วนก็กลายสภาพเป็นผัดเผ็ดปลาดุกทอด กะเพรากรอบ อุดมไปด้วยเครื่องสมุนไพรไทยหลายอย่าง แหมขนาดแค่เห็นภาพยังน่ากินขนาดนี้ ใครบ้างล่ะจะไม่อยากกิน อ้าว แล้วจะรีรออะไรล่ะ รีบไปตลาดสดซื้อหามาทำกินกันได้แล้ว สะดวกมื้อไหนรีบทำโดยไวจะได้รู้ว่ารสชาติอร่อยอย่างที่บอกหรือเปล่าไงล่ะ

ขอเสนอ 2 เมนูจากผักกระชับ เมนูสุดฮิตคนระยอง (ฮิ)



ขอเสนอ 2 เมนูจากผักกระชับ เมนูสุดฮิตคนระยอง (ฮิ)
 
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Youtube.com โพสต์โดยคุณ  bierethai

          มาตามนัดกันเช่นเคยกับรายการภัตตาคารบ้านทุ่ง รายการดีมีสาระ ที่จะนำเมนูอาหารที่คุณ ๆ อาจไม่เคยลองทำ ไม่เคยลองกิน จากทั่วท้องถิ่นทั่วประเทศไทยมาฝากกัน และวันนี้ทางรายการก็ไปปักหลักกันอยู่ที่จังหวัดระยอง เพื่อนำเมนูอาหารขึ้นชื่อของคนระยองมาฝาก ...เมนูที่ว่านั้น ก็คือ เมนูจากผักกระชับ นั่นเอง

          เชื่อได้ว่าเมื่อพูดถึง ผักกระชับ หลายคนคงสงสัยว่า เอ๊ะ มันคือผักอะไร เพราะคงไม่ค่อยได้คุ้นชื่อผักชนิดนี้ซักเท่าไหร่ ดังนั้นก่อนที่จะปรุงผักกระชับ ยั่วน้ำลายกัน เรามารู้จักผักกระชับกันก่อนดีกว่า 

          ผักกระชับ เป็นวัชพืชที่ขึ้นตามท้องไร่ท้องนา ขึ้นเองตามธรรมชาติ หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวเปลือก โดยโผล่จากพื้นดินจากเมล็ดที่แก่จัด จนเติบโตขึ้นมาเป็นผักกระชับให้ชาวบ้านได้เก็บกันมาปรุงกิน ถ้ากลัวขึ้นไม่ทันใจ ก็สามารถนำเมล็ดมาเพาะในแปลงปลูกได้ และหมั่นดายหญ้าที่จะชอบขึ้นแย่งสารอาหารที่จะนำไปเลี้ยงต้นกระชับ  นอกจากนี้ยังสามารถเก็บเอาไปขายได้ กิโลกรัมละร้อยกว่าบาทเลยทีเดียว

          ส่วนวิธีที่เราจะนำมาปรุงกันนั้น ก่อนอื่นเราก็ไปถอนผักกระชับจากแปลงปลูกที่เราปลูกไว้ จากนั้นก็เอาไปแช่น้ำ เพื่อล้างรากให้สะอาด แล้วก็นำเข้าครัวกันเลยยย.... เมนูอร่อย ๆ ทำง่าย ๆ จากผักกระชับวันนี้ ขอเสนอ "ผัดไทใส่ผักกระชับ" เมนูเส้นเน้น ๆ นำมาคลุกผัดไทเติมผักกระชับเข้าไปอีกหน่อย อร่อยสบายใจ รสชาติกำลังดี

ขอเสนอ 2 เมนูจากผักกระชับ เมนูสุดฮิตคนระยอง (ฮิ)

ส่วนผสม
           ผักกระชับ
           กุ้งสด
           ไข่ไก่
           เต้าหู้ทอด
           เส้นเล็ก
           หอมแดง
           กระเทียม
           หัวไชโป๊ไข่เค็ม
           ถั่วลิสงคั่ว
           กุ้งแห้ง

ขอเสนอ 2 เมนูจากผักกระชับ เมนูสุดฮิตคนระยอง (ฮิ)

ขั้นตอนการทำ

          1. หั่นหัวไชโป๊จากชิ้นหนาให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ และปอกหอมแดง นำไปล้าง

ขอเสนอ 2 เมนูจากผักกระชับ เมนูสุดฮิตคนระยอง (ฮิ)

          2. นำกระชับมาหั่นรากทิ้งไป ก่อนจะหั่นเป็น 3 ส่วน ต่อจากนั้นก็หั่นฟองเต้าหู้เตรียมไว้

ขอเสนอ 2 เมนูจากผักกระชับ เมนูสุดฮิตคนระยอง (ฮิ)

          3. เตรียมเส้นที่แช่ไว้ในน้ำ ก่อนใช้มีดปลอกกุ้ง จากนั้นก็เตรียมคลุกเคล้าน้ำมะขามเปียก เตรียมขยี้บดถั่วลิสง

ขอเสนอ 2 เมนูจากผักกระชับ เมนูสุดฮิตคนระยอง (ฮิ)

          4. บรรจงนำของทยอยลงครก เริ่มจากหอมแดง กระเทียม โขลกให้เข้ากัน

          5. หลังจากเตรียมของเสร็จหมดแล้ว ก็เตรียมกระทะพร้อมน้ำมันร้อน ๆ รอก่อนนำกระเทียมลงก่อนเพิ่มความหอม

          6. จากนั้นก็นำน้ำมะขามเปียกลง ตามด้วยน้ำตาลปี๊ป เพิ่มรสชาติด้วยการเยาะซีอิ๊ว

          7. ใส่กุ้งสดลงไป ก่อนหยอดเส้นลงตาม เพิ่มคุณค่าอาหารด้วยการตอกไข่ไก่ใส่ลงไป

ขอเสนอ 2 เมนูจากผักกระชับ เมนูสุดฮิตคนระยอง (ฮิ)

          8. เตรียมหัวไชโป๊จ่อใส่ลงไป ก่อนตามด้วยฟองเต้าหู้โดยพลัน

ขอเสนอ 2 เมนูจากผักกระชับ เมนูสุดฮิตคนระยอง (ฮิ)

          9. มาถึงขั้นตอนสำคัญใส่ผักกระชับลงไป ต้องรีบใส่ รีบผัด เอาให้ผักพอกรุบกรอบ แล้วเราจะพบกับความหวานกรอบกลมกล่อมอย่าบอกใคร

          เมนูแรกว่าอร่อยกลมกล่อม กรุบกรอบกับผักกระชับแล้ว เมนูต่อมาก็เด็ดต่อเนื่อง เมนูที่สองขอเสนอ "แกงส้มผักกระชับ" เมนูนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมนูสุดฮิตของชาวระยองเลยทีเดียว เรามาดูกันเลยว่า ผักกระชับจะผสมผสานกับน้ำแกงเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ อย่างแกงส้มจนออกมาลงตัวเป็นเมนูสุดฮิตนี้ได้อย่างไร ตามมาเลย....

ขอเสนอ 2 เมนูจากผักกระชับ เมนูสุดฮิตคนระยอง (ฮิ)

ส่วนผสม
           พริกแห้ง
           หอมแดง
           ข่าอ่อน
           เกลือป่น
           กะปิ

ขอเสนอ 2 เมนูจากผักกระชับ เมนูสุดฮิตคนระยอง (ฮิ)

ขั้นตอนการทำ
          1. เตรียมขอดเกล็ดปลารอ ปลาที่ใช้ให้เน้นความมันเข้าไว้ แต่ที่เด็ดสุด ขอเสนอปลานิล

ขอเสนอ 2 เมนูจากผักกระชับ เมนูสุดฮิตคนระยอง (ฮิ)

          2. ปอกเปลือกหอมแดง แถมคั้นมะขามเปียก เรียกรสชาติไว้รอ ก่อนจะหั่นข่าอ่อนลงถ้วยรอไว้

          3. ตั้งกระทะ ทอดปลานิล

ขอเสนอ 2 เมนูจากผักกระชับ เมนูสุดฮิตคนระยอง (ฮิ)

          4. เตรียมเครื่องแกงต่อ โดยการโขลกพริกแกงส้มเตรียมรอ จากนั้นหั่นผักกระชับเป็น 3 ส่วน

          5. จากนั้นตั้งหม้อ เตรียมทำน้ำแกงส้ม เริ่มจากใส่พริกแกง ตั้งไว้รอให้น้ำเดือด

          6. เมื่อน้ำเดือดแล้ว ใส่มะขามเปียก เรียกน้ำตาลทรายหรือน้ำตาลปิ๊ปลงประสานรสชาติ ก่อนจะเหยาะน้ำปลา ซีอิ๊วขาว

          7. ขั้นตอนสำคัญใส่ผักกระชับ คน ๆ ให้เข้ากันไม่นานนัก ยกหม้อพักไว้นอกเตา

          8. เอาน้ำแกงที่กลมกล่อมเตรียมพร้อมราดลงปลานิลทอดที่เตรียมไว้

          เพียงเท่านี้ ก็ได้เมนูเด็ดทำง่าย ๆ จากผักที่ดูคล้ายว่าจะเป็นแค่วัชพืชไร้ประโยชน์ แต่กลับกลายมาเป็นผักปรุงอาหารอันโอชะ อย่างผักกระชับ ยังไงก็ลองไปทำเมนูที่ว่านี้ดูนะคะ หรือจะพลิกแพลงนำไปปรุงกับอาหารอื่น ๆ ก็ไม่ว่ากันเนอะ ^^


ส้มตำทอด อาหารพื้นบ้านแอดวานซ์ใหม่ถูกใจทุกคำ


ส้มตำทอด

ส้มตำทอด


เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณแม่ปันปราย

           เชื่อว่าเวลาทุกคนออกไปข้างนอกบ้าน ไม่ว่าย่านไหน ซอยไหน เป็นต้องเห็นมีรถเข็นหรือร้านขายส้มตำอยู่แน่ ๆ ก็เพราะว่าส้มตำ หรือตำบักหุ่ง ไม่เพียงแต่เป็นอาหารเอกลักษณ์ของภาคอีสานเท่านั้น เพราะไม่ว่าภาคไหน ๆ ต่างก็นิยมทานส้มตำกันทั่วไป ด้วยรสชาติแซ่บจัดจ้านถูกใจคนไทยมาช้านาน

           แต่ทว่าการกินส้มตำนอกบ้าน อาจทำให้หลายคนประสบปัญหาปั่นป่วนในท้อง วันนี้เราจึงขอนำเมนูสุขภาพแบบอีสานบ้านเฮาอย่าง "ส้มตำทอด" สูตรของ คุณแม่ปันปราย ที่ทั้งอร่อยถูกปากแถมสะอาดปราศจากอาการท้องเดินมาให้ทุกคนลองทำ ใครที่น้ำลายสอแล้วก็อย่ารอช้า รีบมาดูส่วนผสมและวิธีทำกันเลย

ส้มตำทอด

           ส่วนผสม 

มะละกอขูดเป็นเส้น , แครอทขูดเป็นเส้น

กระเทียบกลีบใหญ่ 1 กลีบ

ถั่วฝักยาวหั่นเป็นท่อน

ถั่วลิสง 1 ช้อนโต๊ะ

กุ้งสดผ่าหลังแล้วลวก 4-5 ตัว

มะเขือเทศลูกใหญ่ มะเขือเทศสีดา

มะนาว,น้ำตาลปี๊บ,น้ำปลา,แป้งทอดกรอบ

           ส่วนวิธีทำนั้นก็ง่าย ๆ เริ่มจาก..

           1. นำเส้นมะละกอและแครอทที่ขูดไว้แล้ว ชุปกับแป้งทอดกรอบที่ผสมน้ำไว้แล้ว (ไม่ต้องปรุงเพิ่มรสชาตินะคะ และผสมพอเหลวไม่ต้องข้นค่ะ)

           2. ทอดเส้นมะละกอและแครอท ใช้ไฟอ่อน ดูให้เหลืองกรอบแล้วตักขึ้นพักไว้

ส้มตำทอด

           3. ตำกระเทียม พริกสด น้ำตาลปิ๊ป 1 ช้อนโต๊ะ และถั่วฝักยาว ให้เข้ากัน เมื่อตำเสร็จแล้วตักใส่ถ้วยไว้

           (ถั่วฝักยาวใช้ไม่มากค่ะ ประมาณ 2 ฝัก สำหรับ 1 จาน และถ้าดูน้ำยำจะน้อยไปให้เติมน้ำต้มสุกเข้าไปได้ แต่ต้องชิมรสให้ได้ส่วนแค่นั้นพอค่ะ)

ส้มตำทอด

           4.เติมน้ำปลา มะนาว ลงในถ้วยพริกที่ตำไว้แล้วในข้อ 3 หลังจากนั้นก็ชิมรสให้ได้ เปรี้ยว หวาน เค็ม (ถ้าปรุงรสจัด ๆ หน่อยก็อร่อยดีค่ะ )  เสร็จแล้วหั่นมะเขือเทศลงไป

ส้มตำทอด

           5. ใส่ถั่วลิสงคั่ว กับกุ้งแห้ง และกุ้งที่เราลวกไว้ลงไป แล้วคนให้เข้ากัน

ส้มตำทอด

           6. ตักน้ำยำที่ปรุงเรียบร้อยแล้วราดลงบน มะละกอที่ทอดเตรียมไว้ แค่นี้ก็พร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ

ส้มตำทอด


           เห็นไหมล่ะว่าการทำส้มตำทอดน่ะง่ายนิดเดียว ใครที่อยู่บ้านมีครกกับสากประจำครัวอยู่แล้วแทนที่จะออกไปต่อคิวรอส้มตำจาก แม่ค้าเจ้าประจำ ลองเปลี่ยนมาทำเองดูบ้างอาจจะอร่อยกว่าที่ซื้อมาก็ได้นะจ๊ะ

ส้มตำทอด

นั่งล้อมวงกินข้าว สุขสันต์กับสามเมนูครอบครัว





นั่งล้อมวงกินข้าว สุขสันต์กับสามเมนูครอบครัว (หนังสือแม่บ้าน)

           ปัจจุบันนี้อะไร ๆ ก็ดูจะเปลี่ยนแปลงไปเสียหมด แทบจะจำภาพเก่าภาพเดิมกันไม่ได้ เช่น การร่วมนั่งล้อมวงกันกินข้าว ปัจจุบันนี้ลองเถอะลองให้ไปนั่งเชื่อได้เลยว่ายังไม่ทันเคี้ยวอาหารเป็นต้อง ขยับพลิกซ้ายพลิกขวาแน่นอน การตำน้ำพริกแกงด้วยครกก็เช่นกัน ก็จะใช้เครื่องบดแทน ถ้าลองให้ไปตำเองล่ะก็ เห็นทีจะได้กินอาหารกันก็คงจะบ่าย ๆ เย็น ๆ โน้นเลย แต่ถึงอย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป เราก็แค่มาสะกิดสะเกาเสียหน่อยเผื่อท่านจะนึกครึ้มอกครึ้มใจชวนญาติพี่น้อง ลูก ๆ หลาน ๆ เข้าครัวช่วยกันทำกับข้าว ต้ม ยำ ทำแกง โขลกน้ำพริกแกงเอง แล้วร่วมนั่งล้อมวงกินพร้อมหน้าพร้อมตากัน โอ๊ย! รับรองว่าท่านจะรู้สึกได้ถึงคำว่าบ้านคือวิมานของเราเชียวล่ะ...

           ได้เลย "สำรับไทยวันนี้" สนับสนุนเต็มที่กับครอบครัวสุขสันต์หรรษา จัดให้ค่ะ แกงจืดสามเซียน แกงสามผัก และยำสามสี มื้อนี้ท่านได้ต้ม ยำ ทำแกงได้โขลกน้ำพริกแกงเอง แสดงฝีมือกันอย่างเต็มที่กันไปเลย อ่ะแน่นอนไม่ต้องมายิ้ม "เสน่ห์ปลายจวัก" ไงล่ะคะ


           แกงจืดสามเซียน



ส่วนผสม

           กุ้งสด                10    ตัว
           ปลาหมึก                2    ตัว
           เนื้ออกไก่หั่นชิ้น            50    กรัม
           สาหร่ายแห้ง            1    แผ่นเล็ก
           แปะก๊วย                50    กรัม
           เห็ดหอมสด            5    ดอก
           ซีอิ๊วขาว                1    ช้อนโต๊ะ
           เกลือป่น                ¼    ช้อนชา
           น้ำเปล่า                2    ถ้วยตวง
           ขึ้นฉ่ายหั่นเป็นท่อน ๆ        1    ต้น
           กระเทียมเจียวเล็กน้อย สำหรับโรยหน้า

วิธีทำ

           1. ปลาหมึกลอกเอาเยื่อออก บั้งและหั่นเป็นชิ้นขนาดพอควร
           2. กุ้งสดปอกเปลือกเหลือหางไว้ ผ่าหลังดึงเส้นดำออก
           3. สาหร่ายแห้งปิ้งพอหอม บิดเป็นชิ้น ๆ ใส่ชามเตรียมไว้
           4. นำน้ำเปล่าใส่หม้อ ยกขึ้นตั้งไฟพอเดือด ใส่เนื้ออกไก่ ปลาหมึก กุ้ง พอเดือดใส่เห็ดหอมสด แปะก๊วย ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว เกลือป่น ชิมรสตามชอบ ใส่ขึ้นฉ่ายคนให้ทั่ว ยกลงตักใส่ชามสาหร่ายที่เตรียมไว้ โรยด้วยกระเทียมเจียว

Note…

           • สาหร่าย เป็นพืชน้ำดีมีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ป้องกัน โรคคอพอก ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ท้องไม่ผูก แถมทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และบำรุงเส้นผมให้ดกดำเงางามอีกด้วย


           แกงสามผัก


ส่วนผสม

           ปลาเนื้ออ่อน (ขนาด 700-800 กรัม)        1    ตัว
           ยอดมะพร้าว                100    กรัม
           เมล็ดถั่วลันเตา                100    กรัม
           ฟักทองแก่ ๆ                100    กรัม
           กระชายซอย                30    กรัม
           ใบมะกรูด                    2    ใบ
           ใบกระเพรา                3-4    กิ่ง
           พริกชี้ฟ้า (สีเขียว สีแดง สีเหลืองอย่างละ)        1    เม็ด
           น้ำปลา                    2    ช้อนโต๊ะ
           เกลือป่น                    2    ช้อนชา
           น้ำตาลปี๊บ                    2    ช้อนชา
           น้ำเปล่า                    1 ½    ถ้วยตวง
           น้ำมันพืช, น้ำส้มสายชู

           ส่วนผสมน้ำพริกแกง

           พริกแห้ง (เม็ดใหญ่แกะเมล็ดออกแช่น้ำ)        5    เม็ด
           ข่าหั่นละเอียด                ¼    ช้อนชา
           พริกไทย                    10    เม็ด
           ลูกผักชีคั่ว                    ½    ช้อนชา
           ลูกยี่หร่าคั่ว                ¼    ช้อนชา
           ตะไคร้หั่นบางๆ                ¼    ช้อนชา
           ผิวมะกรูดหั่นละเอียด                ¼    ช้อนชา
           รากผักชีหั่นละเอียด                ¼    ช้อนชา
           หอมแดงซอย                1    ช้อนโต๊ะ
           กระเทียมซอย                1 ½    ช้อนโต๊ะ
           เกลือป่น                    ¼    ช้อนชา
           กะปิ                    ¼    ช้อนชา

วิธีทำ

           1. โขลกส่วนผสมน้ำพริกแกงให้ละเอียด
           2. ยอดมะพร้าวหั่นชิ้นเล็กพอควร แช่ในน้ำเปล่าผสมน้ำส้มสายชูเล็กน้อย
           3. ฟักทองล้างน้ำปอกเปลือกออก หั่นชิ้นเล็กเท่า ๆ กับยอดมะพร้าว
           4. ปลาเนื้ออ่อนควักไส้ออก หั่นเป็นท่อน ๆ ยาว 2-3 นิ้ว ล้างให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ
           5. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชพอร้อน ใส่ปลาเนื้ออ่อนลงทอดพอเหลือง ตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน
           6. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ พอร้อนนำน้ำพริกแกงที่โขลกไว้ลงผัดจนมีกลิ่นหอม ใส่ฟักทองลงไปผัดให้เข้ากัน เติมน้ำเปล่าลงไปพอเดือด ใส่ยอดมะพร้าว เมล็ดถั่วลันเตา กระชาย ปลาเนื้ออ่อนทอด ปรุงรสด้วยน้ำปลา เกลือป่น น้ำตาลปี๊บ พอเดือดชิมรสตามชอบ ใส่พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบ ใบมะกรูดฉีกเป็นชิ้น และใบกะเพรา คนให้เข้ากันยกลงตักใส่จานเสิร์ฟร้อน ๆ

Notes…

           • ยอดมะพร้าว เลือกยอดที่อ่อนสดสีครีม ไม่แก่
           • เมล็ดถั่วลั่นเตา เลือกฝักสีเขียว แน่นอน ตรง ๆ ไม่คดงอ
           • ฟักทอง เลือกผิวเปลือกที่ขรุขระ เนื้อแน่น สีเหลืองเข็ม


           ยำสามสี


ส่วนผสม


           เนื้อหมูสับรวน            50    กรัม
           กุ้งสดปอกเปลือกลวกหั่นชิ้น        50    กรัม
           หนังหมูต้มซอยบางๆ            40    กรัม
           ถั่วพูต้มพอสุกซอยหยาบๆ        150    กรัม
           หัวปลี (ลอกเป็นกลีบๆ ซอยหยาบๆ)    70    กรัม
           แคร์รอตซอยเส้น            50    กรัม
           กระเทียมเจียว            150    กรัม
           หอมแดงเจียว            150    กรัม
           มะพร้าวขูดขาวคั่ว            10    กรัม
           ถั่วลิสงคั่วโขลกละเอียด        50    กรัม
           ไข่นกกระทาต้มปอกเปลือก        5    ฟอง
           พริกขี้หนูแห้งทอด            10    เม็ด
           น้ำพริกเผาชนิดไม่ผัด            30    กรัม
           น้ำปลา                30    กรัม
           น้ำมะนาว                40    กรัม
           น้ำตาลปี๊บ                90    กรัม
           หัวกะทิ                30    กรัม

วิธีทำ

           1. เตรียมน้ำยำโดยผสมน้ำพริกเผา น้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ และหัวกะทิให้เข้ากัน
           2. จัดเนื้อหมูสับ กุ้ง หนังหมู ถั่วพู หัวปลี แคร์รอต กระเทียมเจียว หอมแดงเจียว มะพร้าวคั่ว ไข่นกกระทา พริกขี้หนูแห้ง และถั่วลิสงใส่จาน จัดเสิร์ฟคู่กับน้ำยำ

Note…

           • หัวปลีซอยแล้วควรแช่ในน้ำเปล่าผสมน้ำมะนาวจะทำให้มีสีขาวน่ากิน
           • ถั่วพูต้องต้มให้สุกจะทำให้ไม่ดำ และรีบแช่ในน้ำเย็นจะทำให้มีสีเขียวสด



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก


เมนูสุดซี้ด! อร่อยง่าย ๆ กับ ยำเห็ดทอดกรอบ





ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ครัวบ้านพิม

          ใครที่ชื่นชอบอาหารรสแซ่บสุดจี๊ด เป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะอาหารประเภท "ยำ" วันนี้เรามีเมนูแซ่บ ๆ มาฝากอีกแล้วล่ะค่ะ (อิอิ) กับอาหารเมนูสุดแซ่บของ ครัวบ้านพิม เจ้าเก่าที่ใจดีนำเมนูอร่อย ๆ มาให้เราได้ลองทำอีกแล้วววว 

          วันนี้ ครัวบ้านพิม ได้นำเมนูที่ทำง่ายแสนง่าย แถมอร่อยถูกใจคอรสจัดทั้งหลาย อย่างเช่น "ยำเห็ดทอดกรอบ" มาแนะนำ แหมม.. แค่ได้ยินชื่อก็ชวนน้ำลายสอแล้ว ยิ่งได้เห็นภาพเห็ดชุบแป้งทอดกรอบ ๆ ราดด้วยน้ำยำอย่างนี้ เห็นทีต้องเตรียมวัตถุดิบมาลองทำแล้วล่ะ  เอ้า! งั้นอย่ารอช้าเราไปเตรียมซื้อของมาทำ "ยำเห็ดทอดกรอบ" กันดีกว่า ^ ^

เตรียมวัตถุดิบและส่วนผสม


ส่วนผสมสำหรับทำเห็ดทอดกรอบ


 

           เห็ดสด 200 กรัม จะเป็นเห็ดนางฟ้า เห็ดเข็มทอง เห็ดชิเมจิก็ได้
           ไข่ไก่ฟองเล็ก 1 ฟอง
           แป้งทอดกรอบ 2 ช้อนโต๊ะครึ่ง
           พริกไทยป่นเล็กน้อย
           เกลือป่นเล็กน้อย
           น้ำเย็นจัด 2 ช้อนโต๊ะครึ่ง
           น้ำมันสำหรับทอด


ส่วนผสมของน้ำยำ



           หมูสับรวนสุก 60 กรัม
           น้ำที่ได้จากการรวนหมูประมาณ  1-2 ทัพพี 
           น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ 
           น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ 
           น้ำตาลทราย  1 ช้อนโต๊ะครึ่ง  ........ (ถ้าใครชอบแบบหอม ๆ หวาน ๆ ก็ ใช้น้ำตาลปี๊บแทนได้นะจ้ะ)
           หอมแดง 4  หัว
           พริกขี้หนูแดง 6-7 เม็ด 
           ขึ้นฉ่าย 1 ต้น

วิธีทำ




             เริ่มต้นด้วยตัดโคนแข็ง ๆ ทิ้งไป แล้วล้างด้วยน้ำให้สะอาด



             จากนั้น เด็ดเห็ดออกจากกันเป็นช่อเล็ก ๆ หรือถ้าใครใช้เห็ดนางฟ้า เห็ดภูฐานก็ฉีกเป็นชิ้นยาว ๆ พอดีคำ


 
             เสร็จ แล้วก็ถึงขั้นตอนผสมแป้งสำหรับชุบเห็ดทอด โดยการนำเอาแป้งทอดกรอบใส่ชาม ใส่พริกป่น และเกลือไปนิดหน่อย จากนั้นเติมน้ำเย็นจัด ๆ ลงไป ผสมให้เข้ากัน แล้วตอกไข่ไก่ ผสมให้เข้ากันอีกรอบ


 
             หยิบเห็ดที่ฉีกไว้แล้วที่ละนิด ใส่ลงไปในโถแป้งที่เตรียมไว้ คลุกแป้งแล้วเตรียมทอด


 
             นำ ไปทอดจนสุกเหลือง โดยใช้ไฟกลาง และระหว่างทอดก็พยายามพลิกเห็ดด้วย เพื่อให้เห็ดไม่ติดกัน  ** ควรทยอยใส่ทีละ 3-4 ชิ้น เพื่อไม่ให้เห็ดติดกันเป็นแพ


 
             ทอดจนเห็ดสุก มีสีเหลืองทองแบบนี้ เสร็จแล้วก็นำขึ้นมาพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน



             มา ถึงขั้นตอนของการทำน้ำยำกันแล้ว นำพริกขี้หนูมาหั่นแล้วโขลกหยาบ ๆ จากนั้นปอกเปลือกหอมแดง ซอยบาง ๆ พร้อมตัดโคนขอขึ้นฉ่ายออก เสร็จแล้วก็คั้นมะนาวทิ้งไว้



           พอเตรียมเสร็จก็นำทุกอย่างใส่รวมกันไปเลย ปรุงรสตามชอบนะคะ



             คน น้ำยำให้น้ำตาลละลายเสร็จแล้วก็ใส่หมูสับที่รวนสุก หอมแดง ตามด้วยขึ้นฉ่าย แต่ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนอยากกินเมนูยำทะเลก็ใส่กุ้ง ปลาหมึก ไปได้นะคะ



             คลุกส่วนผสมให้เข้ากัน จากนั้นตักน้ำยำใส่ถ้วยพร้อมเสิร์ฟ หรือใครชอบแบบเปรี้ยวจี๊ดเข้าเนื้อในก็ราดน้ำยำลงไปเลยก็ได้ค่ะ


 
             และแล้วเราก็จะได้เมนู "ยำเห็ดทอดกรอบ" ที่ทำง่าย แถมอร่อยสุด ๆ แล้วล่ะค่ะ

แซ่บนัว! อร่อยเพลิน ๆ กับเมนู ยำถั่วพูกุ้งสด







เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ครัวบ้านพิม

            ยามบ่ายแก่ ๆ ในวันที่อากาศเป็นใจ หากคุณคิดจะหาอะไรทำ ลองมาเตรียมอาหารมื้อเย็นง่าย ๆ ดีกว่า แล้วบ้านไหนที่เป็นคออาหารประเภทยำ ๆ ล่ะก็ ต้องไม่พลาดกับเมนู... "ยำถั่วพูกุ้งสด" ...สูตรอร่อยจาก คุณพิม ครัวบ้านพิม  (อีกแล้ววววว^^)
           
            โอยยย... เพียงแค่ได้ยินชื่อเมนู ก็ชวนให้น้ำลายสอแล้ว อยากลองลิ้มชิมรสถั่วพูกรุบ ๆ พร้อมด้วยกุ้งสดตัวโตกับไข่ต้มคลุกเคล้าน้ำยำรสแซ่บนัวจานนี้แล้วล่ะ... ฮั่นแน่คิดเหมือนกันใช่ไหมล่ะคะ ถ้าเช่นนั้นก็อย่ารอช้า ไปเข้าครัวลงมือทำ ยำถั่วพูกุ้งสด กันเลยดีกว่าจ้า




:: ส่วนผสมและเครื่องปรุง ::


           - ถั่วพูฝักกลาง ๆ ที่ไม่แก่ 160 กรัม

           - กุ้งสด 10 ตัว

           - หมูสับ 100 กรัม

           - น้ำพริกเผา (ไม่หวาน) 3 ชต.

           - หัวกะทิ 7 ชต.

           - มะนาว 2 ลูกเล็ก หรือประมาณ 2.5 ชต.

           - น้ำปลา 1.5 ชต.

           - น้ำตาลปี๊บ 1.5 - 2 ชต.

           - ถั่วลิสงคั่วหรือทอด โขลกหยาบ ๆ 2 ชต.

           - พริกขี้หนูแห้งทอด 10 เม็ด

           - หอมแดง 5 หัว  หรือ หอมแดงเจียวใหม่ ๆ 2 ชต.

           - กระเทียมกลีบใหญ่ 6-7 กลีบ หรือ กระเทียมซอยบาง ๆ เจียวใหม่ ๆ  2 ชต.

           - น้ำมันสำหรับเจียวหอมกระเทียม

           - พริกขี้หนูสวนซอยบาง ๆ 5-10 เม็ด  ............. (ถ้าชอบเผ็ดก็ใส่ ไม่ชอบเผ็ดก็ไม่ต้องใส่)

           ป.ล. รสโดยรวมจะออกนัว ๆ กลมกล่อม เผ็ดหอมน้ำพริกเผาและเครื่องที่ใส่ แต่จะไม่จี๊ดจ๊าดเป็นแบบยำแซ่บนะคะ


:: วิธีทำ ::


- อันดับแรกก็มาทำความรู้จักส่วนผสมแต่ละอย่างกันก่อนนะคะ สำหรับคนที่รู้จักส่วนผสมทุกอย่างตามด้านบนแล้ว ก็ข้ามตรงนี้ไปได้เลยค่ะ ^^


           - ถั่ว พู ...... เลือกฝักที่ไม่อ่อนไม่แก่จนเกินไป  (ขอให้เป็นฝักโตๆ หน่อย)  และเลือกฝักที่ยังสดใหม่ ไม่เน่า ไม่ดำคล้ำ ไม่ช้ำ .. นะคะ 
พอได้ถั่วพูมาแล้วก็ล้างให้สะอาด แล้วใส่ตะกร้าโปร่งพักไว้ให้สะเด็ดน้ำค่ะ


           - กุ้งสด .... พิมใช้กุ้งขาว ซื้อมาจากตลาดบางกะปิ ขนาดกี่ตัวโลไม่รู้ โลละ 175-  ใช้ประมาณ 10 ตัวค่ะ

             หมู สับ .... พิมใช้หมูสามชั้นที่มีมันไม่มาก+สันคอหมู ล้างสะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วสับรวมกับค่ะ .....  ออกมานุ่มดีและมีมันไม่มากเท่าไหร่



           - ถั่วลิสงคั่ว/ทอด .... อันนี้พิมไม่ได้ทอดเอง ซื้อแบบทอดมาแล้วถุงละ 5 บาท  แต่ใช้จริงประมาณแค่ 2.50 บาทค่ะ ก็บี้เอาเปลือกถั่วออก แล้วก็เอาไปโขลกไว้พอหยาบ ๆ นะคะ

           - พริกขี้หนูแห้งทอด/คั่ว .... เลือกใช้พริกขี้หนูแห้งที่เม็ดยาวหน่อย  เอาไปคั่้วไฟอ่อน ๆ ในกระทะ ตอนคั่วใส่น้ำมันและเกลือไปสักนิดนะคะ 
(น้ำมันจะช่วยให้พริกคั่วมีสีสวยสม่ำเสมอกัน ส่วนเกลือช่วยลดความฉุน และช่วยคงความกรอบไว้ให้นานขึ้นค่ะ)

           - พริกเผา ..... เลือกชนิดไม่หวานนะคะ  จะตำเองก็ได้หรือว่าจะซื้อมาจากตลาดก็ได้นะคะ ตามถนัดเลย  (เอาแต่เนื้อ ๆ นะคะ น้ำมันไม่ต้องมาก)


           - กระเทียม .... พิมเลือกใช้กระเทียมกลีบใหญ่ค่ะ  ส่วนหอม..ปกติใช้หอมแดง แต่วันนี้ไม่มี ไปร้านค้าแถวบ้านก็มีแต่หอมแบบนี้ ก็เอามาใช้แทนกันพอได้อยู่ค่ะ แต่เมื่อเจียวเสร็จแล้ว กลิ่นจะหอมไม่เท่าหอมแดง)

   
           - หัวกะทิ .... คั้นจากมะพร้าวขูดขาวค่ะ หรือถ้าใครไม่มี/ไม่สะดวกคั้นกะทิเอง จะใช้กะทิกล่องก็ได้  แต่มันไม่หอมหวานมันเท่ากะทิสดนะคะ


           - ไข่ ... จะใช้ไข่เป็ดหรือไข่ไก่ก็ได้ค่ะ แต่พิมชอบใช้ไข่ไก่มากกว่า เพราะรู้สึกว่ารสชาติเค้าจะออกนุ่มนวลเข้ากับยำถั่วพูน่ะค่ะ ก็นำไข่ไก่ไปล้างสะอาด แล้วนำไปต้มจนสุกนะคะ ส่วนจะสุกมากหรือน้อยก็ตามความชอบของเพื่อน ๆ เลยค่ะ

 เมื่อทำความรู้จักส่วนผสมแต่ละอย่างกันไปแล้ว ก็มาเริ่มเตรียมของแต่ละอย่างกันนะคะ  ^__^



           - เริ่มต้นก็มาทำการลวกกุ้งกันก่อนนะคะ ด้วยการใส่น้ำลงในหม้อใบย่อม ๆ ใบนึง นำหม้อขึ้นตั้งเตาไฟ ใช้ไฟกลาง พอ น้ำเดือดจัด ก็ค่อย ๆ หย่อนกุ้งใส่ลงไป  รอจนน้ำเดือดอีกครั้ง กุ้งเปลี่ยนสี ก็เป็นอันว่ากุ้งสุกแล้ว ... ใช้ตะหลิวหรือทัพพีโปร่ง ๆ ตักขึ้นมาพักไว้ได้เลยค่ะ


           - จากนั้นก็ตั้งหม้อใบเดิมบนเตาไฟต่อ รอน้ำเดือดอีกครั้ง ใส่หมูสับลงไป ใช้ตะหลิวยีหมูสับให้กระจายตัวออกจากกัน  รอน้ำเดือดอีกครั้งและหมูสับสุก ก็ใช้ได้ ... ตักเฉพาะหมูขึ้นใส่ชามใบเล็ก ๆ ไว้ค่ะ  (น้ำเก็บไว้ก่อน อย่าเพิ่งทิ้ง)


           - แล้วเราก็จะได้หมูที่รวนแล้ว กุ้งที่ลวกแล้ว ...  พักไว้ก่อน


           - ต่อมาก็มาจัดการถั่วพูกันค่ะ ด้วยการนำถั่วพูที่ล้างสะอาดแล้วมาตัดหัวตัดท้ายและดึงเส้นข้างออกให้หมด  (แต่บางอันที่ไม่ค่อยแก่เท่าไหร่ ก็ไม่มีให้ดึงนะคะ) ... แล้วก็ซอยเฉียง ๆ หนาประมาณครึ่ง ซม. หรือน้อยกว่านิดหน่อยค่ะ



           - พอซอยเสร็จก็เอาถั่วพูลงแช่น้ำที่ผสมเกลือเอาไว้สักแป๊บนะคะ .. ถั่วพูจะได้ไม่ดำ



           - ระหว่างนั้นก็เอาน้ำใส่หม้อที่เราจะใช้ลวกถั่วพูค่ะ  ปริมาณน้ำที่ใส่ในหม้อก็กะๆ เอาค่ะว่าให้ท่วมถั่วพูก็เป็นพอ  แล้วเอาไปตั้งบนเตาไฟ ใช้ไฟกลาง พอน้ำเดือดจัด ก็เอาถั่วพู (สรงให้สะเด็ดน้ำก่อน) ใส่ลงไปค่ะ   ใช้ทัพพีกดถั่วพูให้จมน้ำสักหน่อยแล้วปิดฝาหม้อสักแป๊บ  พอน้ำเดือดอีกครั้งก็เปิดฝาหม้อ ดูว่าถั่วพูสุกดีหรือยัง  ... สุกมากสุกน้อยตามชอบเลยนะคะ)





           - ถ้าสุกดีแล้วก็ใช้ตะหลิวโปร่งตักถั่วพูขึ้นจากน้ำ ร้อน และเอาไปใส่ไว้ในกาละมังน้ำเย็นจัดค่ะ (เพื่อให้ถั่วพูยังคงความกรอบ และมีสีเขียวสดอยู่)



- ทิ้งไว้สักแป๊บ พอถั่วพูหายร้อน ก็ค่อยเอาตะหลิวโปร่ง ๆ  ตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำอีกทีค่ะ ..... (แล้วก็พักไว้ก่อน)



           - จากนั้นก็มาปอกกระเทียม .... อย่างที่บอกในตอนแรกว่าพิมเลือกใช้กระเทียมกลีบใหญ่ค่ะ  ก็แกะกระเทียมออกจากหัวมาสัก 5-6 กลีบใหญ่
ปอกเปลือก แล้วซอยบาง ๆ ไว้นะคะ



           - ... ซอยเสร็จก็นำไปเจียวจนเหลือง



           - ส่วนหอมแดงก็ทำแบบเดียวกัน  ปอกปลือก - ล้าง  แล้วนำมาซอยบาง ๆ ไว้นะคะ



           - ซอยเสร็จก็นำไปเจียวจนเหลืองสวย และตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมันค่ะ



           - เมื่อเตรียมเครื่องต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยก็มาลงมือปรุงกันเลยนะคะ เริ่มต้นด้วยการหากาละมังสำหรับผสมมาสักใบ  ใส่น้ำพริกเผา น้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บลงไป ... คนด้วยทัพพีให้เข้ากัน และน้ำตาลละลายดี



           - ใส่หัวกะทิลงไป 5 ชต. (ที่เหลืออีก 2 ชต. ไว้ราดตอนจัดใส่จานแล้ว)  คนให้เข้ากันอีกครั้งแล้วชิมรสชาติ  หากขาดรสไหนไปก็เติมได้ตามชอบเลยนะคะ แต่ส่วนตัวพิมคิดว่ายำชนิดนี้ควร จะรสกลมกล่อมแบบนัว  คือไม่เผ็ดมาก ไม่หวานนัก (ความหวานอีกส่วนจะได้จากถั่วพู เวลาที่เราเคี้ยว) ไม่เปรี้ยวเค็มมาก   ... ถึงจะอร่อยอ่ะค่ะ (แต่ก็นั่นแหละค่ะ ความอร่อยของแต่ละคนไม่เหมือนกันเน๊าะค่ะ)  ... แล้วพอชิมรสได้ที่แล้ว ก็ใส่หมูกับกุ้งลงไป เคล้าเบา ๆ ให้เข้ากัน




           - สุดท้ายก็ตักใส่จาน ตกแต่งด้วยไข่ต้ม พริกทอด หอมเจียวกระเทียมเจียว ถั่วลิสงคั่วปน ราดด้วยหัวกะทิที่เหลือ แล้วเราก็จะได้ยำถั่วพูออกมาหน้าตาประมาณในภาพด้านล่างนี้นะคะ





           - ขอบอกว่า .... เป็นยำถั่วพูที่อร่อยมากเลยสำหรับพิม คือรสชาติเค้าจะกลมกล่อม ไม่เปรี้ยวไป ไม่หวานไป  ไม่เค็มไป เผ็ดน้อย ๆ รสชาตินัว ๆ

           หาก เพื่อนๆ  คนไหนสนใจก็ลองเอาไปทำทานกันดูนะคะ เครื่องเคราอาจจะเยอะหน่อย วิธีการทำอาจจะยุ่งยากหน่อย แต่ทำออกมาแล้วกินอร่อยจนเพลินเลยค่ะ  ^^  

4 เมนูจากหัวไชเท้า ผักที่มากไปด้วยคุณค่า






หัวไช้เท้า ผักที่ปราศจากพิษภัย (หนังสือแม่บ้าน)
อร่อยยอด ประหยัดยิ่ง สูตร : ส.ปลาทอง

            หัวไช้เท้านับเป็นผักที่มากไปด้วยคุณค่า...เราจะเห็นได้ว่าคนที่ชื่นชอบการ ปรุงอาหารส่วนใหญ่มักนำหัวไช้เท้ามาเอี่ยวด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการทำน้ำซุป การนำมาทำอาหารจานเดียว คงเป็นเพราะหัวไช้เท้าเหมาะกับครัวที่บ้านอีกทั้งยังหารับประทานได้ตลอดทั้ง ปี...

            สรรพคุณที่ดีของหัวไชเท้าได้แก่... วิตามินซี วิตามินเอ และแร่ธาตุ อย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส และไนอะซิน ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ร่างกายต้องการ สำหรับหัวไช้เท้าดิบที่มีกลิ่นฉุนเชื่อว่าช่วยกระตุ้นน้ำย่อยได้ ดังนั้น ในอาหารญี่ปุ่นหลายชนิดจึงใส่หัวไช้เท้าขูดฝอยลงในน้ำจิ้มซีอิ๊ว หรือหั่นฝอยรับประทานคู่กับปลาดิบเป็นเครื่องเคียงเพื่อเพิ่มรสชาติความ อร่อยอีกทั้งยังช่วยตัดความเลี่ยนได้ด้วย ตามตำราจีนกล่าวว่าหัวไช้เท้ามีสรรพคุณในการกระจายสิ่งหมักหมมในร่างกาย ละลายเสมหะ แก้พิษ ลดความดันขยายหลอดลม จึงควรเป็นอาหารที่อยู่ในเมนูของคนที่ป่วยเป็นโรคหวัด ไอเสียงแหบแห้ง ท้องขึ้นเนื่องจากอาหารไม่ย่อย หรือคออักเสบเรื้อรัง...

            ในบางครั้งหัวไช้เท้าก็มีประโยชน์สำหรับผิวพรรณ... จากการหาข้อมูลพบว่าหัวไช้เท้าช่วยลดรอยกระได้ โดยการนำหัวไช้เท้าขนาด 1 หัวเล็ก ๆ กับน้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ นำมาปั่นรวมกันจนละเอียด แล้วนำมาพอกให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด เท่านี้ก็ช่วยให้ผิวหน้าผ่องใสขึ้น ทำเช่นนี้สักอาทิตย์ละ 2 ครั้ง จะช่วยลดรอยกระบนใบหน้าได้ดี ส่วนผู้ที่อยากมีผิวสวยแนะนำให้รับประทานหัวไช้เท้าเป็นประจำ อาจนำมาปรุงเป็นอาหาร อาทิ แกงส้ม ต้มยำ แกงจืด หรือหั่นเป็นเส้นๆ แล้วผัดรับประทานก็ได้ค่ะ...

            สำหรับเมนูในครั้งนี้เราได้นำหัวไช้เท้ามาทำเป็นเมนูอร่อยได้หลากหลาย ขึ้น... เพื่อช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดความอยากในการรับประทานหัวไช้เท้า ทั้งเมนูนึ่ง เมนูต้ม เมนูผัด รวมถึงเมนูตุ๋นรสอมหวานอมเค็มสไตล์ญี่ปุ่น ลองมาดูซิว่าชอบเมนูไหนมากกว่ากัน จากนั้นก็ลองเริ่มทำเมนูใหม่นี้ให้กลายเป้ฯเมนูโปรดประจำบ้าน เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี และเพื่อผิวพรรณที่สวยงาม...


หัวไช้เท้าต้มยำ

ส่วนผสม

            หัวไช้เท้า                1    ถ้วยตวง
            หมูสับ                    50    กรัม
            ตับหมูลวก                 3    ชิ้น
            ลูกชิ้นปลาลวก            3    ลูก
            เกี๊ยวปลาลวก             2    ชิ้น
            กุ้งแห้งตัวเล็ก             2    ช้อนชา
            พริกดองพร้อมน้ำส้ม       1    ช้อนโต๊ะ
            น้ำตาลทราย              1    ช้อนโต๊ะ
            พริกป่น                    2    ช้อนชา
            น้ำปลา                    2    ช้อนชา
            ถั่วลิสงคั่วบุบหยาบ            1    ช้อนโต๊ะ
            ผักชี, ต้นหอมซอยหยาบ        2    ช้อนชา
            น้ำซุปหมู                1 ½    ถ้วยตวง
            กระเทียมเจียว            1    ช้อนชา

วิธีทำ

            1. ปอกเปลือกหัวไช้เท้าหั่นตามยาวหนาประมาณ ½ เซนติเมตร ใช้ที่ปอกเปลือกผลไม้สไลซ์เป็นเส้นให้ได้ 1 ถ้วยตวง
            2. ต้มน้ำซุปหมูพอเดือด เบาไฟ ใส่หัวไช้เท้าต้มไฟอ่อนพอสุก ตักขึ้นใส่ชามเตรียมไว้ ใส่ตับหมูลวก ลูกชิ้นปลาลวก เกี๊ยวปลาลวก
            3. ผสมพริกดองพร้อมน้ำส้ม น้ำตาลทราย พริกป่น น้ำปลา ถั่วลิสง คั่วบุบ และกุ้งแห้งใส่ชาม
            4. ต้มน้ำซุปให้เดือดอีกครั้ง ปิดไฟ ใส่หมูสับ ตักน้ำซุปประมาณ 1 ถ้วยตวง พร้อมหมูสับใส่ลงในส่วนผสมข้อที่ 3 คนให้เข้ากัน เทราดลงในชามหัวไช้เท้า โรยกระเทียมเจียว ผักชี ต้นหอมซอย จัดเสิร์ฟ


หัวไช้เท้านึ่ง


หัวไช้เท้านึ่ง

ส่วนผสม

            หัวไช้เท้าปอกเปลือกหั่นชิ้นหรือกดด้วยพิมพ์    1    หัว
            กุ้งสดปอกเปลือกผ่าหลังไว้หาง        4-5    ตัว
            เห็ดหอมแห้งแช่น้ำพอนุ่มต้มสุกหั่นเป็นเส้นๆ    4    ดอก
            เห็ดเข็มทองแบ่งเป็นช่อๆ            4-5    ช่อ
            ซอสปรุงรสอาหาร ตราเด็กสมบูรณ์        1    ช้อนโต๊ะ
            ซอสเห็ดหอม                2    ช้อนโต๊ะ
            พริกไทยป่น                ¼    ช้อนชา
            ขิงซอย                    1    ช้อนโต๊ะ
            กระเทียมซอย                3-4    กลีบ
            ขึ้นฉ่ายหั่นท่อน
            พริกชี้ฟ้าสีแดงซอยเป็นเส้นๆ

วิธีทำ

            1. เรียงเห็ดหอมและเห็ดเข็มทองลงในภาชนะสำหรับนึ่ง วางชิ้นหัวไช้เท้าบนเห็ด
            2. ผสมซอสปรุงรสอาหาร ตราเด็กสมบูรณ์ ซอสเห็ดหอม พริกไทยป่น ผสมให้เข้ากันดีราดลงบนหัวไช้เท้า โรยด้วย ขิงซอย ยกขึ้นนึ่งบนน้ำเดือดประมาณ 20-25 นาที หรือจนสุก
            3. เรียงกุ้งสดบนหัวไช้เท้านึ่งต่อ 5 นาที เปิดฝา โรยกระเทียมซอย ขึ้นฉ่าย พริกชี้ฟ้า ยกลงเสิร์ฟ


หัวไช้เท้าม้วน

หัวไช้เท้าม้วน

ส่วนผสม

            แครอทหั่นแท่ง                1    ถ้วยตวง
            กุ้งสดปอกเปลือกผ่าครึ่งตัว            5    ตัว
            เนื้อหมูหั่นเส้น                50    กรัม
            เห็ดหอมแห้งแช่น้ำพอนุ่มหั่นเป็นเส้น        2    ดอก
            วุ้นเส้น ตราหงษ์ แช่น้ำพอนุ่ม        ½    ถ้วยตวง
            หัวไช้เท้าปอกเปลือกสไลซ์เป็นแผ่นยาว    1    หัว
            น้ำเปล่า
            ผักชี

วิธีทำ

            1. ต้มน้ำเปล่าพอเดือด ใส่หัวไช้เท้าลงลวก พอสลดเล็กน้อยนำขึ้น แช่น้ำเย็น
            2. วางหัวไช้เท้าบนภาชนะเรียบ เรียงแคร์รอต เห็ดหอม กุ้ง เนื้อหมู และวุ้นเส้น ตราหงษ์ ค่อยๆ ม้วนให้แน่นเรียงใส่จาน ราดด้วย น้ำราด
            3. นำขึ้นนึ่งในลังถึงน้ำเดือดประมาณ 20 นาที หรือจนหัวไช้เท้าสุกตกแต่งด้วยผักชี จัดเสิร์ฟ

ส่วนผสมน้ำราด

            กระเทียมสับ            2    ช้อนชา
            ผงปรุงรส            1    ช้อนชา
            ซีอิ๊วขาว                1    ช้อนชา
            ซอสเห็ดหอม            1    ช้อนโต๊ะ
            น้ำตาลทราย            ½    ช้อนชา
            น้ำซุป                2    ช้อนโต๊ะ
            น้ำมันพืช                2    ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

            ใส่น้ำมันพืชในกระทะตั้งไฟพอร้อน ใส่กระเทียมลงเจียวพอหอมเติมน้ำซุปพอเดือด ปรุงรสด้วยผงปรุงรส ซีอิ๊วขาว ซอสเห็ดหอม น้ำตาลทราย พอเดือดอีกครั้งยกลง




หัวไช้เท้าต้มซอส

ส่วนผสม

            หัวไช้เท้า                1    หัว
            น้ำเปล่า                2    ถ้วยตวง
            โชยุ (ซีอิ๊วญี่ปุ่น)            ¼    ถ้วยตวง
            น้ำตาลทราย            ¼    ถ้วยตวง
            ปลาโอแห้ง            10    กรัม
            เกลือป่นเล็กน้อย
            พริกไทยป่นเล็กน้อย

วิธีทำ

            1. ปอกเปลือกหัวไช้เท้าหั่นชิ้นตามชอบ (แต่ต้องให้มีความหนาพอประมาณ เพราะต้องต้มเป็นเวลานาน) เตรียมไว้
            2. ต้มน้ำเปล่าพอเดือด ใส่ปลาโอแห้งต้มประมาณ 5 นาที ยกลงกรอง ใส่น้ำซุปที่กรองแล้วลงในหม้อยกขึ้นตั้งไฟอีกครั้ง
            3. ใส่โชยุ น้ำตาลทราย เกลือป่น พริกไทยป่นลงในน้ำซุป ใส่หัวไช้เท้าต้มพอเดือด เบาไฟ เคี่ยวจนหัวไช้เท้าสุกนุ่มและน้ำซอสเคลือบชิ้นหัวไช้เท้า



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก


ทอดมันกุ้ง ทำเอง...อร่อยแบบกุ้งเต็ม ๆ คำ


ทอดมันกุ้ง

เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณตะโกครับ
           เวลาไปร้านอาหารทีไร ลูกเด็กเล็กแดงก็มักจะชอบสั่ง "ทอดมันกุ้ง" มาทานกันใช่ไหมล่ะ แต่สั่งทีไรก็แอบรู้สึว่า มันไม่ค่อยเป็น "ทอดมันกุ้ง" จริง ๆ ซักที กัดไปก็เจอแป้ง เจอแต่มันหมู แล้ว "กุ้ง" อยู่ไหนหว่า ??? แหม...ถ้าทำ "ทอดมันกุ้ง" กินเองได้ล่ะก็ คงจะดีไม่น้อย...ว่าแล้ว กระปุกดอทคอมก็ขอนำเสนอสูตรทอดมันกุ้งจาก คุณตะโกครับ สมาชิกห้องก้นครัว เว็บไซต์พันทิป ที่รับรองว่า คุณจะได้ทานทอดมันกุ้งที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อกุ้ง แถมอร่อยถูกปากอีกด้วย เอ้า...ถ้าอยากชิมทอดมันกุ้งแบบเต็มปากเต็มคำแล้วล่ะก็ ตามมาจดสูตรกันเล้ยยยย...

           อันดับแรกมาดูส่วนผสมของทอดมันกุ้งกันก่อน ประกอบด้วย

 
ทอดมันกุ้ง
 
ทอดมันกุ้ง
เนื้อกุ้ง

ทอดมันกุ้ง
รากผักชี - พริกไทย

ทอดมันกุ้ง
มันหมู 70 กรัม

          วิธีทำ

ทอดมันกุ้ง
นำพริกไทย รากผักชี มาใส่ครก ตำให้ละเอียด ๆ

ทอดมันกุ้ง
นำกุ้งมาแกะหัว หาง ออกทั้งหมด แล้วแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกเก็บไว้ก่อน อีกสองส่วนที่เหลือเอามาผ่าหลัง ดึงไล้ออก

ทอดมันกุ้ง
ค่อย ๆ ทยอยนำกุ้งที่ผ่าหลังแล้วใส่ครก หลังจากพริกไทย และรากผักชีละเอียด (อย่าเอากุ้งใส่ครกทีเดียวนะครับ ค่อย ๆ เอาลงไปแล้วตำให้เนียนก่อน ค่อยใส่กุ้งลงไป)

ทอดมันกุ้ง
พอกุ้งที่ใส่ครั้งแรกเนียนแล้ว ก็ค่อย ๆ ใส่ทีเหลือลงไปเหมือนเดิม ทิ่มให้เนียน

ทอดมันกุ้ง
ทิ่มจนเนื้อเนียน เป็นเนื้อเดียวกันแบบนี้ครับ (กุ้งเวลาละเอียดเป็นเนื้อเดียวกันแล้วจะเหนียว ยกสากแทบไม่ขึ้นครับ)

ทอดมันกุ้ง
เนื้อกุ้งเหนียวดีแล้วก็พอครับ

ทอดมันกุ้ง
ใช้ทัพพีตักใส่จานพักไว้ก่อนครับ เอาเข้าตู้เย็นไว้ยิ่งดี สังเกตนะครับ เนื้อกุ้งละเอียดจนตั้งยอดได้

ทอดมันกุ้ง
ทีนี้ก็มาดูมันหมูกัน บ้าง เอาไปต้มก่อนนะครับ ต้มพอสุก แล้วหั่นเป็นลูกเต๋าเล็ก ๆ หยาบ ๆ มันหมูจะช่วยให้ทอดมันกุ้งนุ่มขึ้น และเป็นตัวประสานโครงสร้างเนื้อกุ้งให้จับก้อนตามที่เราต้องการ

ทอดมันกุ้ง
กลับมาที่กุ้งส่วนแรก ที่เราแบ่งรอไว้ จับมาหั่นแบบนี้เลยครับ หั่นเป็นท่อน ๆ ตะโกหั่น 4-5 ท่อน เพราะกุ้งตัวค่อนข้างใหญ่ ที่ต้องหั่นแบบนี้ เพราะต้องการให้รสสัมผัสของทอดมันกุ้งอร่อยมากกว่าเนื้อกุ้งตำ

ทอดมันกุ้ง
หั่นกุ้งเสร็จก็นำไป แช่เย็นไว้ในตู้เย็นก่อนครับ รวมถึงมันหมูด้วย ทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมงก็ได้ครับ ประมาณว่า บ่มให้เย็น ก่อนจะมาผสมกับเครื่องปรุง

ทอดมันกุ้ง
เครื่อง ปรุงทอดมันกุ้ง นี่สำคัญนะครับ การใช้เครื่องปรุงให้ถูกต้องกับอาหาร จะช่วยให้อาหารมีรสชาติที่ดี มีกลิ่นที่ต้องการ ตะโกจะไม่ใช้น้ำปลาเป็นตัวทำเค็มนะครับ ใช้เกลือครับ ครึ่งช้อนชา

ทอดมันกุ้ง
ซอส อะไร ก็อย่าไปใส่นะครับ เพราะจะไปเพิ่มความชื้นให้ตัวทอดมัน อีกทั้งสีก็จะไม่สวยเมื่อโดนความร้อนตะโกใช้ น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา น้ำตาลจะช่วยเพิ่มให้ทอดมันมีรสชาติครับผงรสดี 2 ช้อนชา จะช่วยปรับรสชาติให้ดียิ่งขี้น แล้วนำส่วนผสมมาคนให้เข้ากันทั้งน้ำตาล และผงรสดี จะไม่ทำให้กลิ่นของทอดมันกุ้งเพี้ยนไปครับ

ทอดมันกุ้ง
นำส่วนผสมทั้ง3อย่าง คนให้เข้ากันครับ

ทอดมันกุ้ง
นำ กุ้ง และมันหมู ออกจากตู้เย็น มาใส่ภาชนะเพื่อปรุงรสครับ เทส่วนผสมลงไป แล้วคลุกให้เข้ากัน ถ้าใช้มือจับฟาด ๆ ลงในภาชนะก็จะดีครับ ช่วยให้เนื้อเหนียวขึ้น ต้องทำขณะที่เนื้อกุ้งเย็น ๆ หลังออกจากตู้เย็นใหม่ ๆ ครับ

ทอดมันกุ้ง
ขั้น ตอนการผสมนี้ ถ้าชอบกลิ่นน้ำมันงา ก็สามารถเหยาะลงไปได้ครับ 2 ช้อนชา เอาแค่ให้พอมีกลิ่น ใส่มากจะเหม็นครับ แต่ของตะโกไม่ใส่ครับ เพื่อความมั่นใจในรสชาติ เทสต์ก่อนดีที่สุด ตักมาช้อนนึงครับ

ทอดมันกุ้ง
เอาไปเข้าไมโครเวฟเพื่อชิมรสชาติ ใช้ไฟแรง เวลา 30 วินาทีครับ

ทอดมันกุ้ง
เอา ช้อนแบ่งออกเพื่อชิม รสชาติของทอดมันกุ้งต้องไม่เค็มครับ ห้ามเค็มเด็ดขาด ใส่ตามที่ตะโกบอกแล้วชิมนะครับ ส่วนที่ตะโกชิมนี้ ไม่ต้องเติมอะไรครับ ตัวกุ้งเด้งสู้ลิ้น รสชาติอ่อนพอดี มีกลิ่นของกุ้งให้ชื่นใจครับ

ทอดมันกุ้ง
ครบ เครื่องหอม รากผักชี พริกไทยอ่อน ๆ เค็ม หวาน ได้ตามต้องการครับ ทอดมันกุ้ง เน้นที่กุ้งครับ ตามร้านอาหาร เค้าไม่กลัาทำแบบนี้ครับ เชื่อตะโกไหมครับว่า บางร้านเอาเนื้อปลามาผสม บางร้านก็ใส่แป้งต่าง ๆ ลงไป เพื่อเพิ่มความเหนียว แล้วกลบกลิ่นด้วยน้ำมันงาครับ จะเห็นได้ว่าตะโกไม่ใช้เลยครับ แป้งต่าง ๆ

ทอดมันกุ้ง
ทีนี้ ก็ใช้ไข่ขาวทา หลังจากปั้นขึ้นรูปแล้วจึงโรยด้วยเกล็ดขนมปังครับ ไข่ขาวจะช่วยยึดเกาะให้เกล็ดขนมปังติดตัวทอดมันมากขึ้น แต่ตะโกไม่ใช้นะครับ เอาแค่นี้ เกล็ดขนมปังก็ติดเนื้อพอแล้วครับ จากนั้นก็เอาเกล็ดขนมปังใส่ภาชนะ แล้วเอามือแตะน้ำ หรือน้ำมันพืช ป้องกันเนื้อติดมือ ก่อนปั้้นขึ้นรูป แล้วเอาเกล็ดขนมปังโรยเกล็ดขนมปังทั้งบน ล่าง และรอบ ๆ

ทอดมันกุ้ง
โรยเกล็ดขนมปังให้ทั่ว

ทอดมันกุ้ง
ตั้งกระทะ เทน้ำมันท่วม ๆ ไฟกลาง พอน้ำมันร้อน ใส่ทอดมันที่ปั้นไว้ครับ

ทอดมันกุ้ง
พอใกล้สุก ตัวทอดมันจะลอยขึ้นมาเองเลยครับ

ทอดมันกุ้ง
เสร็จพอดี

ทอดมันกุ้ง
ตัวทอดมันสีสวย แป้งกรอบ ผิวกรอบครับ

ทอดมันกุ้ง
ตัวทอดมันจะฟูพองครับ เมื่อเอาช้อนผ่าออกดู ข้างในไม่มีโพรงอากาศให้กวนใจครับ ไปทานกันครับ

ทอดมันกุ้ง
ทานกับน้ำจิ้มบ๊วยครับ

ทอดมันกุ้งตัวทอดมัน กรอบนอกเกล็ดขนมปังกรอบเมื่อเคี้ยว นุ่มด้านใน เมื่อเคี้ยวโดนกุ้งหั่นจะเด้ง ๆ สู้ลิ้น  เนื้อทอดมันเหนียวครับ

ทอดมันกุ้ง
เมื่อ ราดน้ำบ๊วยลงไปแล้วทาน จะได้ความหวานอมเปรี้ยวของบ๊วยก่อน เมื่อเคี้ยวก็จะลงตัวด้วยกลิ่นของกุ้ง และรสสัมผัสเด้ง ๆ ในปาก รสชาติดีมากครับ

           ว้าว! เห็นแค่รูป ท้องก็เกิดอาการหิวแล้วล่ะสิ อย่างนี้ต้องรีบขอตัวแวบไปทำทอดมันกุ้งคำใหญ่ ๆ มาชิมดูสักตั้งแล้วววว


ทอดมันกุ้ง

ทอดมันกุ้ง

ทอดมันกุ้ง

ทอดมันกุ้ง

ทอดมันกุ้ง

ทอดมันกุ้ง

ทอดมันกุ้ง

ทอดมันกุ้ง

ทอดมันกุ้ง

ทอดมันกุ้ง

ทอดมันกุ้ง

 
 
ทอดมันกุ้ง

ทอดมันกุ้ง

ทอดมันกุ้ง

ทอดมันกุ้ง

ทอดมันกุ้ง

ทอดมันกุ้ง

ทอดมันกุ้ง

ทอดมันกุ้ง

ทอดมันกุ้ง


เปรี้ยวแซ่บ! อร่อยเด็ดกับ เมนูกุ้งแช่น้ำปลา



เปรี้ยวแซ่บ! อร่อยเด็ดกับ เมนูกุ้งแช่น้ำปลา

เปรี้ยวแซ่บ! อร่อยเด็ดกับ เมนูกุ้งแช่น้ำปลา

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณแม่ปันปราย 

           ว้าว!! แค่เห็นภาพของเมนูเซ็ตนี้ ก็น้ำลายสอแล้วล่ะค่ะ > < สำหรับ "เมนูกุ้งแช่น้ำปลา" สูตรของ  คุณแม่ปันปราย ที่ นำมาให้ได้ลองทำในวันนี้ ดูแซ่บสะเด็ด เปรี้ยวปากซะจริง ๆ ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า เมนูกุ้งแช่น้ำปลาของคุณแม่ปันปรายนั้น อร่อยเด็ดไม่แพ้ใคร! เพราะเขามีเคล็ด(ไม่)ลับ สำหรับการทำให้กุ้งเด้งกรุบกรอบมาฝากกันด้วย

           เอ้า! ถ้าอย่างนั้นอย่ารอช้า เตรียมกุ้งตัวโต ๆ พร้อมเครื่องเคียง แล้วลงมือเข้าครัวกันเลยดีกว่าจ้าาา

เปรี้ยวแซ่บ! อร่อยเด็ดกับ เมนูกุ้งแช่น้ำปลา

 เตรียมส่วนประกอบ
           กุ้งสดตัวใหญ่ขนาดพอดีคำ ประมาณ 3 ขีด

           พริกขี้หนูหั่นเล็ก (ปริมาณตามชอบ)

           กระเทียมประมาณ 1 หัว

           มะม่วงเปรี้ยว ขูดเป็นเส้น

           ตะไคร้ซอย (ปริมาณตามชอบ)

           มะนาว

           สะระแหน่

           มะระหั่นแว่น

           โซดา 1 ขวด สำหรับแช่กุ้ง

เปรี้ยวแซ่บ! อร่อยเด็ดกับ เมนูกุ้งแช่น้ำปลา

เปรี้ยวแซ่บ! อร่อยเด็ดกับ เมนูกุ้งแช่น้ำปลา

 ขั้นตอนการทำกุ้งแช่น้ำปลา
           ล้างทำความสะอาด แล้วปอกเปลือกพร้อมตัดหัวกุ้งให้เรียบร้อย

           ผ่าหลังดึงเส้นสีดำออก จากนั้นแผ่กุ้งออก

เปรี้ยวแซ่บ! อร่อยเด็ดกับ เมนูกุ้งแช่น้ำปลา

           เสร็จแล้วนำกุ้งที่ผ่าเรียบร้อย ไปแช่ด้วยน้ำโซดาประมาณ 2 นาที

เปรี้ยวแซ่บ! อร่อยเด็ดกับ เมนูกุ้งแช่น้ำปลา

           พอแช่เสร็จก็นำขึ้นมาล้างน้ำ แล้วนำไปแช่ตู้เย็นรอเอาไว้เลย (สูตรนี้รับรองว่ากุ้งกรอบเด้งแน่)

 ขั้นตอนการทำน้ำจิ้ม
           โขลกพริกกระเทียมให้เข้ากัน

           จากนั้นปรุงรสด้วยมะนาว เกลือ น้ำปลา และน้ำตาลทรายนิดหน่อย (ใครชอบเปรี้ยวมากก็ใส่มะนาวตามชอบเลยนะคะ)


เปรี้ยวแซ่บ! อร่อยเด็ดกับ เมนูกุ้งแช่น้ำปลา

           ขั้นตอนสุดท้ายให้จัดกุ้งวางเรียงเป็นคำ ๆ วางตะไคร้ไว้บนตัวกุ้งให้สวยงาม เสร็จแล้วก็ราดน้ำจิ้มแซ่บ ๆ ลงไป เพียงเท่านี้เราก็จะได้เมนูกุ้งแช่น้ำปลากันแล้วล่ะค่ะ 

เปรี้ยวแซ่บ! อร่อยเด็ดกับ เมนูกุ้งแช่น้ำปลา

เปรี้ยวแซ่บ! อร่อยเด็ดกับ เมนูกุ้งแช่น้ำปลา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

5 สุดยอดร้านสุกี้ทั่วกรุง 5 สุดยอดร้านโจ๊กในกรุงเทพ 50 อาหารแปลกแต่ขายดีของญี่ปุ่น 101 เมนูซูชิ 5 สุดยอดร้านกระเพาะปลาในกรุงเทพ อาหาร 100 อย่างตามทางรถไฟสายยามาโนเตะ อาหารเวียดนาม ขนมไทยโบราณที่น่าจดจำ และ ขนมไทยมงคล ๙ อย่าง 30 อันดับขนมหวานเมืองคามาคูระประเทศญี่ปุ่น อาหารประเทศอาเซียน 7 ขนมหวานยอดฮิตของเยอรมัน  อาหารลาว 10 สายพันธุ์งูน่าทึ่ง 25 สถานที่ดำน้ำทั่วโลก 25 สัตว์น้ำรูปร่างหน้าตาประหลาด ไขปริศนาใครคือแจ๊คเดอะริปเปอร์ (Jack The Ripper) 20 พืชผักแปลกสายพันธุ์เก่าแก่ 10 อันดับสัตว์มีพิษ ตำนานธอร์ (Thor) เทพสายฟ้า 10 อันดับสัตว์สถาปนิก 15 สัตว์โลกสวยงามที่ใกล้สูญพันธุ์ เปิดแฟ้มลับชีวิตรัก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) เห็ดมีพิษ 10 อันดับฆาตกรเด็ก 10 อันดับสัตว์ผีดูดเลือด 10 อันดับสัตว์แปลกที่คนไทยนิยมเลี้ยงมากที่สุด 10 เกมส์ดีที่โลกควรรู้จัก ช่วยฝึกสมอง เด็กเล่นได้ไม่รุนแรง แนะนำ Android Games Cloud Computing http://megatopic.blogspot.com/2013/08/20-90s.html http://megatopic.blogspot.com/2013/12/dead-island-riptide.html http://megatopic.blogspot.com/2013/09/blog-post_2.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/application-iphone-ipad-1.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/blog-post_866.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/101.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/application-iphone-ipad-1.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/botox-filler.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_8739.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_8.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/great-wall-of-china.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_3921.html http://megatopic.blogspot.com/2013/10/blog-post_24.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_8781.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/blog-post_23.html http://www.blogger.com/%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7...%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_19.html http://megatopic.blogspot.com/2013/10/blog-post_6477.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/butterfly-pea.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_7684.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/blog-post_6.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_27.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/nikita-khrushchev.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_16.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_3574.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/8.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/blog-post_22.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_954.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_28.html http://megatopic.blogspot.com/2013/09/blog-post_17.html http://megatopic.blogspot.com/2013/11/2-tasty-too.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/blog-post_22.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/10.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/7.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_4.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/blog-post_7834.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/stephen-hawking.html http://megatopic.blogspot.com/2013/09/10_13.html http://megatopic.blogspot.com/2013/09/10_27.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/10.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_14.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/acerola-cherry.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_18.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/albert-einstein.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_30.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/blog-post_26.html http://megatopic.blogspot.com/2013/09/blog-post_6378.html http://megatopic.blogspot.com/2013/09/blog-post.html http://megatopic.blogspot.com/2013/10/blog-post_28.html http://megatopic.blogspot.com/2013/11/blog-post_24.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/apache-helicopter.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/blog-post_7038.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/25_22.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/blog-post_20.html http://megatopic.blogspot.com/2013/08/blog-post_28.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_4929.html http://megatopic.blogspot.com/2013/06/blog-post.html http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_18.html